วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

จดหมายถึงลูกจาก บารัค โอบามา

บารัค โอบามา เขียนจดหมายถึงลูกสาวทั้งสองในสัปดาห์ที่ผ่านมา (จัดพิมพ์เมื่อ 14 มกราคม 2552 โดย Parade Magazine) คุณพ่อบารัค เกริ่นนำว่าเวลาที่ทั้งครอบครัวใช้ร่วมกันในระหว่างการรณรงค์หาเสียงสองปี ที่ผ่านมา ไม่อาจทดแทนเวลาที่จากกันในช่วงเวลาเดียวกัน เลยอยากบอกเล่าถึงสาเหตุที่เขาตัดสินใจลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ทำให้ทั้งครอบครัวต้องเข้าสู่เส้นทางเดินนี้

บารัคว่าไว้เมื่อเขายังหนุ่ม ก็คิดถึงแต่ตัวเอง ทำยังไงที่จะปูทางชีวิตในโลกเพื่อประสบความสำเร็จและได้ในสิ่งที่หวัง แต่เมื่อมีลูกสาวทั้งสองที่มาพร้อมกับความสนใจอยากรู้ ความซุกซนและเรื่องก่อกวน และรอยยิ้มที่ไม่เคยที่จะไม่เติมเต็มความสุขในหัวใจของพ่อ เรื่องที่พ่อเคยคิดว่าสำคัญก็ไม่ใช่อีกต่อไป พ่อเริ่มค้นพบว่าความสุขที่สุดของพ่อก็คือเมื่อพ่อเห็นความสุขของลูกๆ และเรื่องต่างๆในชีวิตพ่อก็ไม่สำคัญอีกต่อไป นอกจากจะสามารถวางใจได้ว่าลูกๆมีโอกาสทุกครั้งที่จะมีความสุขและโอกาสในการ เติมเต็มชีวิตของลูกๆ นั่นก็คือคำตอบที่ว่า ทำไมพ่อถึงลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อสิ่งที่พ่อหวังให้ลูกและกับเด็ก ทุกคนในประเทศนี้

พ่ออยากจะให้เด็กทุกคนมีโอกาสไปโรงเรียนที่สมกับศักยภาพของแต่ละคน โรงเรียนที่ท้าทายเด็ก บันดาลใจเด็ก และซึมซับความรู้สึกพิศวงต่อโลกรอบตัวเด็ก พ่ออยากให้เด็กๆมีโอกาสในการเรียนต่อมหาวิทยาลัย ถึงแม้พ่อแม่ผู้ปกครองจะไม่ใช่เป็นคนมีฐานะ พ่ออยากให้เด็กเหล่านั้นมีงานดีๆทำ งานที่สร้างผลตอบแทนที่ดี งานที่มีสวัสดิการอย่างประกันสุขภาพ งานที่ยังให้เขามีโอกาสใช้เวลากับลูกได้ และสามารถให้เขาเกษียณอย่างภูมิใจ



Dear Malia and Sasha,

I know that you’ve both had a lot of fun these last two years on the campaign trail, going to picnics and parades and state fairs, eating all sorts of junk food your mother and I probably shouldn’t have let you have. But I also know that it hasn’t always been easy for you and Mom, and that as excited as you both are about that new puppy, it doesn’t make up for all the time we’ve been apart. I know how much I’ve missed these past two years, and today I want to tell you a little more about why I decided to take our family on this journey.

When I was a young man, I thought life was all about me—about how I’d make my way in the world, become successful, and get the things I want. But then the two of you came into my world with all your curiosity and mischief and those smiles that never fail to fill my heart and light up my day. And suddenly, all my big plans for myself didn’t seem so important anymore. I soon found that the greatest joy in my life was the joy I saw in yours. And I realized that my own life wouldn’t count for much unless I was able to ensure that you had every opportunity for happiness and fulfillment in yours. In the end, girls, that’s why I ran for President: because of what I want for you and for every child in this nation.

I want all our children to go to schools worthy of their potential—schools that challenge them, inspire them, and instill in them a sense of wonder about the world around them. I want them to have the chance to go to college—even if their parents aren’t rich. And I want them to get good jobs: jobs that pay well and give them benefits like health care, jobs that let them spend time with their own kids and retire with dignity.

I want us to push the boundaries of discovery so that you’ll live to see new technologies and inventions that improve our lives and make our planet cleaner and safer. And I want us to push our own human boundaries to reach beyond the divides of race and region, gender and religion that keep us from seeing the best in each other.

Sometimes we have to send our young men and women into war and other dangerous situations to protect our country—but when we do, I want to make sure that it is only for a very good reason, that we try our best to settle our differences with others peacefully, and that we do everything possible to keep our servicemen and women safe. And I want every child to understand that the blessings these brave Americans fight for are not free—that with the great privilege of being a citizen of this nation comes great responsibility.

That was the lesson your grandmother tried to teach me when I was your age, reading me the opening lines of the Declaration of Independence and telling me about the men and women who marched for equality because they believed those words put to paper two centuries ago should mean something.

She helped me understand that America is great not because it is perfect but because it can always be made better—and that the unfinished work of perfecting our union falls to each of us. It’s a charge we pass on to our children, coming closer with each new generation to what we know America should be.

I hope both of you will take up that work, righting the wrongs that you see and working to give others the chances you’ve had. Not just because you have an obligation to give something back to this country that has given our family so much—although you do have that obligation. But because you have an obligation to yourself. Because it is only when you hitch your wagon to something larger than yourself that you will realize your true potential.

Love, Dad

อ่านจนจบแล้วทำให้ผมคิดถึงบทความของอ.ป๋วย เรื่อง คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน ว่าไปแล้วกี่สิบปีที่ผ่านมา ชีวิตของคนเราทั้งบ้านเราบ้านอื่นต่างก็ต้องการสิ่งที่ใกล้เคียงกัน เป็นความต้องการร่วมของคุณภาพชีวิตของคนทั้งโลกจริงๆ

คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน

เมื่อผมอยู่ในครรภ์ของแม่

ผมต้องการให้แม่ได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์

และได้รับความเอาใจใส่ และบริการอันดีในเรื่องสวัสดิภาพของแม่และเด็ก

ผมไม่ต้องการมีพี่น้องมากอย่างที่พ่อแม่ผมมีอยู่ และแม่จะต้องไม่มีลูกถี่นัก

พ่อกับแม่จะแต่งงานกันถูกฎหมาย หรือธรรมเนียมประเพณีหรือไม่ ไม่สำคัญ

แต่สำคัญที่ พ่อกับแม่ต้องอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ทำความอบอุ่นให้ผมและพี่น้อง

ในระหว่าง 2-3 ขวบแรกของผม ซึ่งร่างกายและสมองผมกำลังเติบโตในระยะที่สำคัญ

ผมต้องการให้แม่ผมกับตัวผม ได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์

ผมต้องการไปโรงเรียน

พี่สาวหรือน้องสาวผมก็ต้องการไปโรงเรียน

จะได้มีความรู้หากินได้ และจะได้รู้คุณธรรมแห่งชีวิต

ถ้าผมมีสติปัญญาเรียนชั้นสูงๆ ขึ้นไป

ก็ให้มีโอกาสเรียนได้ ไม่ว่าพ่อแม่ผมจะรวยหรือจน

จะอยู่ในเมืองหรือชนบทแร้นแค้น

เมื่อออกจากโรงเรียนแล้ว

ผมต้องการงานอาชีพที่มีความหมาย

ทำให้ได้รับความพอใจว่า ตนได้ทำงานเป็นประโยชน์แก่สังคม

บ้านเมืองที่ผมอาศัยอยู่จะต้องมีขื่อ มีแป

ไม่มีการข่มขู่ กดขี่ หรือประทุษร้ายกัน

ประเทศของผมควรจะมีความสัมพันธ์อันชอบธรรม และเป็นประโยชน์กับโลกภายนอก

ผมจะได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงความคิด และวิชาของมนุษย์ทั้งโลก

และประเทศของผมจะได้มีโอกาส รับเงินทุนจากต่างประเทศ

มาใช้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม

ผมต้องการให้ชาติของผมได้ขายผลิตผลแก่ต่างประเทศด้วยราคาอันเป็นธรรม

ในฐานะที่ผมเป็นชาวไร่ชาวนา

ผมก็อยากมีที่ดินของผมพอสมควรสำหรับทำมาหากิน มีช่องทางได้กู้ยืมเงินมาขยายงาน

มีโอกาสรู้วิธีการทำกินแบบใหม่ๆ มีตลาดดี และขายสินค้าได้ราคายุติธรรม

ในฐานะที่ผมเป็นกรรมกร ผมก็ควรจะมีหุ้นมีส่วนในโรงงาน บริษัท ห้างร้านที่ผมทำอยู่

ในฐานะที่ผมเป็นมนุษย์ ผมก็ต้องการอ่านหนังสือพิมพ์ และหนังสืออื่นๆ ที่ไม่แพงนัก

จะฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ก็ได้โดยไม่ต้องทนรบกวนจากการโฆษณามากนัก

ผมต้องการสุขภาพอนามัยอันดี และรัฐบาลจะต้องให้บริการป้องกันโรคแก่ผมฟรี

กับบริการการแพทย์ รักษาพยาบาลอย่างถูกอย่างดี

เจ็บป่วยเมื่อใดหาหมอพยาบาลได้สะดวก

ผมจำเป็นต้องมีเวลาว่างสำหรับเพลิดเพลินกับครอบครัว

มีสวนสาธารณะที่เขียวชะอุ่ม

สามารถมีบทบาท และชมศิลปะ วรรณคดี นาฏศิลป์ ดนตรี วัฒนธรรมต่างๆ

เที่ยวงานวันงานลอยกระทง งานนักขัตฤกษ์ งานกุศลอะไรก็ได้พอสมควร

ผมต้องการอากาศบริสุทธิ์สำหรับหายใจ น้ำดื่มบริสุทธิ์สำหรับดื่ม

เรื่องอะไรที่ผมเองไม่ได้ หรือได้แต่ของไม่ดี

ผมก็จะขอความร่วมมือกับเพื่อนฝูงในรูปสหกรณ์ หรือ สโมสร หรือสหภาพ

จะได้ช่วยซึ่งกันและกัน

เรื่องที่ผมจะเรียกร้องข้างต้นนี้ ผมไม่เรียกร้องเปล่า

ผมยินดีเสียภาษีอากรให้ส่วนรวมตามอัตภาพ

ผมต้องการโอกาสที่มีส่วนในสังคมรอบตัวผม

ต้องการมีส่วนในการวินิจฉัยโชคชะตาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของชาติ

เมียผมก็ต้องการโอกาสต่างๆ เช่นเดียวกับผม

และเราสองคนควรจะได้รับความรู้และวิธีการวางแผนครอบครัว

เมื่อแก่ ผมและเมียก็ควรได้ประโยชน์ตอบแทนจากการประกันสังคม

ซึ่งผมได้จ่ายบำรุงตลอดมา

เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ๆ อย่างบ้าๆ

คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง

ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ

หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ

เมื่อตายแล้ว ยังมีทรัพย์สมบัติเหลืออยู่ เก็บไว้ให้เมียผมพอใจในชีวิตของเธอ

ถ้าลูกยังเล็กอยู่ก็เก็บไว้ เลี้ยงให้โต

แต่ลูกที่โตแล้วไม่ให้ นอกนั้นรัฐบาลควรเก็บไปหมด

จะได้ใช้เป็นประโยชน์ในการบำรุงชีวิตของคนอื่นๆ บ้าง

ตายแล้ว เผาผมเถิด อย่าฝัง

คนอื่นจะได้มีที่ดินอาศัยและทำกิน

และอย่าทำพิธีรีตอง ในงานศพให้วุ่นวายไป

นี่แหละคือความหมายของชีวิต

นี่แหละคือการพัฒนาที่จะควรให้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของทุกคน

สุดท้ายนี้ ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์อ่านมาจนจบ ขอความสุขสวัสดีและสันติสุข จงเป็นของท่านทั้งหลาย และพระท่านกล่าวไว้ดังนี้เกี่ยวกับความสวัสดี

“เราตถาคตไม่เห็นความสวัสดีอื่นใดของสัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญา เรื่องตรัสรู้ ความเพียร ความสำเร็จอินทรีย์ และความเสียสละ”

ไม่มีความคิดเห็น: