ประเทศไทยมีประชากร 65 ล้านคน
ในจำนวนนี้อยู่ในวัยทำงาน (อายุ 15-60ปี) ทั้งสิ้น 35 ล้านคน
ในจำนวน 35 ล้านคนเป็นแรงงานที่อยู่ในระบบ 14 ล้านคน (แรงงานนอกระบบ 60% อยู่ในภาคเกษตร)
ในจำนวนแรงงานที่อยู่ในระบบ 14 ล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม 9 ล้านคน
ในจำนวนผู้ประกันตน 9 ล้านคน มีผู้ที่มีเงินเดือนเกิน 15000 บาทต่อเดือน เพียง 9 แสนคน (ไม่ได้รับเช็คช่วยชาติ)
. . . .
ถ้าคนไทยที่ได้เงินเกิน 15,000 บาทต่อเดือนมีแค่ 9 แสนคน น่าจะประเมินได้ว่าประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศที่มีคนชั้นกลาเป็นสัด ส่วนที่น้อยมาก ผมไม่มีตัวเลขแบบเดียวกันของสหรัฐฯ แต่ถ้าจะใช้จำนวนผู้เสียภาษีเป็นตัวชี้วัด (คนเสียภาษีแสดงว่าต้องมีรายได้ระดับหนึ่ง) คนไทยมีผู้ที่ต้องเสียภาษี 6.6 ล้านคน คิดเป็น 10% ของทั้งประเทศ ในขณะที่สหรัฐฯ มีผู้เสียภาษี 138 ล้านคนหรือคิดเป็น 45% ของทั้งประเทศเลยทีเดียว
การมีชนชั้นกลางอยู่น้อยมากทำให้อุตสาหกรรมหลายอย่างพัฒนาได้ยากเหมือน กัน อย่างเช่น อุตสาหกรรมภาพยนตร์ บ้านเรามีคนเข้าโรงหนังแค่ 1 ล้านคนเท่านั้น ในขณะที่เกาหลีใต้มีประชากรน้อยกว่าเรามาก แต่มีคนเข้าโรงหนังมากกว่าเราหลายเท่า เพราะประชากรจำนวนมากของเกาหลีใต้เป็นคนชั้นกลาง แค่นี้เราก็สู้เขาได้ยาก แล้ว เพระตลาดภาพยนตร์มันเล็กเหลือเกิน
และนี่ก็ให้เข้าใจว่าทำไมธุรกิจที่ใหญ่โตในประเทศไทยจะต้องเป็นธุรกิจที่ เกี่ยวข้องกับคนรากหญ้า จะเห็นได้ว่า เศรษฐีอันดับต้นๆ ของไทยจะต้องมีอาชีพเกี่ยวกับคนรากหญ้า เช่น ขายเหล้า ขายเครื่องดื่มชูกำลัง และให้บริการมือถือ เป็นต้น ซื้อกันคนละไม่กี่สิบบาท แต่รวมกันหลายคนเข้าก็เป็นมูลค่าตลาดที่มากโขอยู่ ถ้าหากินกับคนชั้นกลางแม้กำลังซื้อจะสูง แต่จำนวนคนที่อาจจะน้อยกว่า 30-60 เท่า ทำให้มูลค่าตลาดเล็กกว่ากันเยอะ
เมื่อก่อนผมเคยสงสัยว่าทำไมทีวีบ้านเราจึงต้องมีตลกคาเฟ่แทรกอยู่ในทุกๆ รายการ ถามคนรอบข้างดูก็ไม่เห็นว่าจะชอบดูกันสักเท่าไร ตอนหลังถึงได้มาเข้าใจว่า ที่จริงแล้วเป็นเพราะเราเป็นคนส่วนน้อยนี่เอง นิสัยเสียอย่างหนึ่งของคนชั้นกลางของประเทศนี้คือ ชอบยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง เอาความเห็นของตนเองตนเองและพวกพ้องเป็นใหญ่ ทั้งที่เป็นแค่คนส่วนน้อยของประเทศ …
ไม่เอาดีกว่า วกเข้าเรื่องการเมืองจนได้ จบข่าว
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น