วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สูตรแห่งความสุข...ตำราชีวิตประจำวัน By สุทธิชัย หยุ่น

พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้...บอกว่าเป็น “สูตรแห่งชีวิตประจำวัน”
ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...

ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ
เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ตำราแห่งชีวิต” ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา
และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้,
เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไร
ให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง


สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น,
ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง
และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น
และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน,
ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม

นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร,
ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลา
ของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการ
ผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน


สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ

๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณ
อย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะ
ทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็น
ต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ
อีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร....จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร
ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔.. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง
กันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร

แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ
ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด


และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง
ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้า
คนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับชีวิต สมรส

มีชาย-หญิงคู่หนึ่งแต่งงานอยู่ด้วยกัน
กระทั่งถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรกันเลยเชียวล่ะ
ฝ่ายหญิงมีกล่องเก็บของอยู่ใบหนึ่งวางในตู้เสื้อผ้า
และกำชับแกมขอร้องสามีว่าอย่าได้เปิดดูหรือถามใดใดทั้งสิ้น
ฝ่ายสามีก้อช่างน่ารักเสียเหลือเกิน
ไม่เคยปริปากถามเรื่องกล่องใบนั้นอีกเลย

วันเวลาผ่านไปหลายสิบปี อยู่มาวันหนึ่งฝ่ายหญิงป่วยมาก
หมอลงความเห็นว่าเธอคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นานเธอจึงวานให้สามีช่วยไปหยิบกล่องใบนั้นจากตู้เสื้อผ้า
หลังจากที่ฝ่ายชายกลับมาพร้อมกับยื่นกล่องให้เธอ
เธอเปิดฝากล่องขึ้นมาพบว่ามี
ตุ๊กตาถักไหมพรมกับเงินอีกจำนวนหนึ่ง (ประมาณว่า 1,000,000 บาท)
บรรจุอยู่ข้างใน

ฝ่ายหญิงเริ่มเอ่ย "ในวันแต่งงานของเรา
คุณย่าของฉันได้ให้บทเรียนสอนใจ
ท่านว่าครอบครัวสมรสเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
หนักนิดเบาหน่อยต้องให้อภัยและอดทนให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ไว้เนื้อเชื่อใจ มีความรักให้แก่กัน
และที่สำคัญคือมีความเข้าใจกัน "เธอหยุดพูด
พร้อมกับยื่นมืออันแทบจะไร้เรี่ยวแรงลูบตุ๊กตาไหมพรมไปมา
"คุณย่าได้แนะเคล็ดลับให้ว่า

เมื่อใดที่ความรู้สึกไม่พอใจเกิดขึ้น หรือรู้สึกโกรธมากๆ ขึ้นมา
ให้ถักตุ๊กตาไหมพรมเก็บไว้ 1 ตัวเสมอ"

ฝ่ายชายเหลือบมองเข้าไปในกล่อง
มีตุ๊กตาไหมพรม 2 ตัววางอยู่
เขาเบือนหน้าไปอีกทาง เพื่อหลบหยดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ
เขารู้สึกซาบซึ้งน้ำใจของภรรยาที่มีต่อเขาเป็นยิ่งนัก
ชีวิตสมรสที่ยาวนานกว่า 50 ปี

มีตุ๊กตาไหมพรมเพียง 2 ตัว
เท่านั้นแทนจำนวนครั้งที่ภรรยาได้โกรธเคืองเขา

หลังจากปาดคราบน้ำตาแล้ว เขาหันกลับมา
ฝ่ายภรรยาพูดต่อ
" เธอคงแปลกใจกับเงินก้อนนี้สินะ"

ฝ่ายหญิงหยิบมันขึ้นมา แล้วพูดต่อว่า

"มันเป็นเงินที่ได้มาจากการทยอยขายตุ๊กตาไปทีละตัวๆ ค่ะ"

ยอดหญิงจริงๆ.........

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ผลมาจากการบริจาคโลหิตโดยแท้ !!!‏

สิทธิพิเศษสำหรับผู้บริจาคโลหิตค่ะ
1. ผู้บริจาคโลหิต ตั้งแต่ 7 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ ช่วยเหลือค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษได้ ไม่เกินร้อยละ 50
2. ผู้บริจาคโลหิต ตั้งแต่ 16 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล + ค่าห้องพิเศษและค่าอหาร ได้ร้อยละ 50
3. ผู้บริจาคโลหิต ตั้งแต่ 24 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล 100% + ค่าห้องพิเศษและค่าอาหาร ได้ร้อยละ 50
4. ผู้บริจาคโลหิต ตั้งแต่ 100 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ " ขอพระราชทานเพลิงศพ " ได้เป็นกรณีพิเศษ ** เฉพาะผู้บริจาคโลหิตเท่านั้น ไม่สามารถโอนสิทธิ์ให้ผู้อื่นได้



ผู้บริจาคโลหิต ตั้งแต่ 9 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ ตรวจวิเคราะห์สารเคมีในโลหิตได้ เช่น ตรวตจหาน้ำตาล , ไขมัน , การทำงานของตับ , การทำงานของไต ฯลฯ
โดยผู้บริจาคโลหิตสามารถใช้สิทธิ์ได้ ปีละ 1 ครั้ง
เพื่อนๆ พี่ๆ คนใด ที่น้ำหนักตัวเกิน 45 ก . ก . ไม่มีโรคประจำตัว ไม่ต้องทานยาเป็นประจำ ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ
อยากจะชวนไปช่วยกันบริจาคเลือดทุกๆ 3 เดือนเป็นประจำนะคะ เพราะคนไทยส่วนใหญ่ มักจะไปบริจาคกันปีละ 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งก็คือ " วันเฉลิมฯ "
ทำให้ช่วงวันเฉลิมจะมีเหลือเข้าสภากาชาด เยอะจนล้น แต่ในขณะที่ไม่ใกล้กับวันเฉลิมฯ จะมีปัญหาเรื่องเลือดหมดคลัง
จึงอยากจะชวนเพื่อนๆ พี่ๆ ไปบริจาคเลือดกันนะคะ
เพราะนอกจาก เราจะได้ทำบุญ ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์แล้ว เรายังเป็นการตรวจสุขภาพตัวเราเอง ไปในตัวด้วยนะคะ
เพราะถ้าหากสุขภาพเราไม่ดี ทางสภากาชาด เค้าก้อไม่รับบริจาคโลหิตจากเรานะคะ
ไว้สัปดาห์นี้ จะไปบริจาคเลือด แล้วจะส่งภาพถ่ายมาให้ดูใหม่นะคะ

อย่าลืม ** อ่าน FW เมล์ด้านล่างด้วยนะ ** * v *

ผลมาจากการบริจาคโลหิตโดยแท้ !!!
คือเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นจริง ๆ เป็นผลมาจากการบริจาคโลหิตโดยแท้ !!!
รุ่นพี่ของเราคนหนึ่ง อายุประมาณ 35 ปี ทำงานอยู่ที่ ทีพีไอ สำนักงานใหญ่ ซึ่งบริษัทมีสวัสดิการให้
พนักงานตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี ผลการตรวจล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้ว ปรากฎว่าพี่เค้าเป็นโรคลิ้น
หัวใจรั่ว ซึ่งคุณหมอก็งงเหมือนกัน เพราะเกือบทั้งหมดของคนที่เป็นโรคนี้ มักเป็นมาแต่กำเนิด
หลังทราบผล พี่เค้าก็ไปปรึกษาคุณหมอ สรุปว่า ทางเดียวที่จะรอดได้ก็ต้องผ่าตัด เพื่อดูว่าสามารถ
ซ่อมลิ้นหัวใจได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ หลังจากปรึกษาที่รพ.เซ็นหลุยส์ ค่าใช้จ่ายในการ
ผ่าตัดประมาณ 3 –4 แสนบาท จึงลองไปปรึกษาที่รพ.จุฬาฯ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 1 แสน
กว่า ๆ จึงตัดสินใจไปผ่าตัดที่รพ.จุฬา ฯ

แต่ก่อนหน้านี้ พี่เค้าบริจาคเลือดทุก ๆ 3 เดือนมาโดยตลอด รวมทั้งหมดที่บริจาคก็ 49 ครั้ง และ
พี่เค้าก็ได้รับคำแนะนำมาว่า ทางสภากาชาดจะช่วยเหลือในส่วนของค่าห้องในการพักรักษาตัวได้
จึงได้ไปขอจดหมายรับรองจากสภากาชาดไว้ ว่าได้บริจาคเลือดจำนวนครั้งเท่านี้จริง อย่างน้อย
ก็จะได้ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้บ้าง

พี่เค้าเพิ่งได้รับการผ่าตัดเรียบร้อย เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 48 นี้เอง วันที่ออกจากรพ. ก็ต้องไป
เคลียร์ค่าใช้จ่าย ซึ่งทั้งหมดเป็นเงิน 110,000 บาท แต่พี่เค้าต้องจ่ายจริง คือค่ายาเพียง
9,800 บาทเท่านั้น เพราะสรุปว่า สภากาชาดออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ เจ้าหน้าที่ของรพ.แจ้งว่า
ได้รับสิทธิ์เหมือนกับข้าราชการคนหนึ่ง ส่วนของค่ายาที่ต้องจ่ายเองนั้น เพราะเป็นยาบัญชีประเภทสอง
ซึ่งถึงจะเป็นข้าราชการก็ต้องจ่ายส่วนนี้เองเหมือนกัน เจ้าหน้าที่ยังแนะนำอีกว่า เพียงแค่คุณบริจาค
เลือดกับสภากาชาดอย่างน้อย 24 ครั้งั้ง คุณก็จะได้รับสิทธิประโยชน์นี้เหมือนที่รุ่นพี่เราได้รับไปแล้ว

นี่ถือเป็นโชค 2 ชั้นเลยนะ ได้บุญจากการบริจาคเลือดแล้ว ยังเหมือนได้ประกันแถมมาอีก
ถ้าใครมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี ก็พยายามไปบริจาคเลือดไว้นะ แต่ขอย้ำว่า นับเฉพาะที่บริจาค
ไว้กับสภากาชาดเท่านั้น

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทความจากน้าเน๊ก... จริงของมัน !!

*อีืกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ - ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก
เกตุเสพย์สวัสดิ์ *

1. คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน
แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก21,900
วัน
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม.........
ไม่เลว 3,120
สัปดาห์
อุแม่เจ้า......... แสดงว่า
เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน
เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก....
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ
แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข
*ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
*เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
*หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม
สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน
น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี
แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120
สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!

อุแม่เจ้าเทค 2
คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!
คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้าง ๆ
เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้
นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว
นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่
เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี
แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205
วัน
และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น ......
คำนวณเองบ้างซิว้อยย.....
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่ ผลลัพธ์ที่ได้
เราจะทำยังไงกับมันดี .....
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อนั่งเอา

หัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอม

ให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า ' เงินเดือน '
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า
รู้แต่ว่าแม่ชอบ
ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน
เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี

*บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น**
**ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น**
**แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความ**
**รู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน**
**บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ**
**ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล**
**ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า *

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด
ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล
เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี
อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ ลองคิดแบบนี้บ้าง
ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ
ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย

*แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้**
**และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...**
**มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า**
**เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ**
**ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว**
**ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก *

ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง

*รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี**
**ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ** ) **ตายแล้ว*
*
**ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้**
**กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ **
**เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล *
....... คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด
ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น
แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง
เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก
ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ *
**อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก *

รีบ แยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ ทำ

*เดี๋ยวตายซะก่อน** .... เสียดายแย่ *

*โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา *

Fwd: Amway ดีจริงหรือ ???

---------- Forwarded message ----------
From: หนาว สาย ลม ห่ม ไ ¸­ หมอก <pihtaran_m...@hotmail.com>
Date: Aug 11, 4:20 pm
Subject: Amway ดีจริงหรือ ???
To: [Room69Club]®


GreenPrice : จำหน่าย กระเป๋าโน๊ตบุ๊ค, Soft case, ซองใส่มือถือ, ซองใส่
MP3, ซองใส่กล้อง

1 . แอมเวย์มีสมาชิก...ที่ยังคงอยู่ ประมาณ 7-8 แสนคน
(แต่ไม่ต่อสมาชิกแล้วประมาณ 1 เท่าตัว )ซึ่งดูจากหมายเลขสมาชิกปัจจุบัน
น่าจะประมาณ 2 ล้านกว่า ๆโดยแอมเวย์ เก็บเงินค่าสมาชิกปีละ 900 บาท
เมื่อคูณด้วยจำนวนสมาชิกราว ๆ 7 แสนคน ก็หมายความว่า แอมเวย์ได้เงิน
"ค่าสมาชิก"ไปแล้วประมาณ 600 ล้านบาท การที่แอมเวย์ซื้อพันธบัตรรัฐบาลแค่
1 ล้าน กับ
จ่ายเงินให้กองทุนต่าง ๆ เพื่อเอารูปมาลงเป็นการโฆษณา "ความดีงาม"
ของตนเองสัก 80 ล้าน(จริง ๆ แล้วไม่ถึง 50 ล้าน)
จึงถือว่าจิ๊บจ๊อยมากเมื่อเทียบกับ "เงินกินเปล่า" ที่เก็บไป

2. แอมเวย์ใช้วัสดุรีไซเคิลมาทำเป็นบห่อ เช่น ขวดต่าง ๆ
หรือหลอดยาสีฟันก็ไม่ได้หมายความว่า แอมเวย์ช่วยกำจัดขยะหรือลดขยะ
เนื่องจากพัสดุบห่อนั้น ๆ "มาจากอเมริกา" หรือหมายความว่า
แอมเวย์ช่วยกำจัดขยะ "จากอเมริกา" ไปไว้ที่ต่าง ๆ ในโลก
แอมเวย์ไม่มีโรงงานทำบรรจุภัณฑ์ หรือสั่งซื้อบห่อในประเทศอื่นครับ

3. แอมเวย์มักบอกว่าตัวเอง
"ไม่มีโฆษณา"เพื่อลดต้นทุนส่วนที่ไม่จำเป็นให้ผู้ซื้อ แล้ว
รูปสาวหน้าหมวย ๆ
บีบยาสีฟันครึ่งหน้าของหนังสือพิมพ์หลายฉบับหลายวัน...แปลว่าอะไร โฆษณาใน
TV...แปลว่าอะไรล่ะครับ

4. การโฆษณาของแอมเวย์เป็นซอฟท์เซลล์
สร้างความรู้สึกว่าคนใช้แอมเวย์เป็นคนประหยัด...เช่นซื้อรองเท้าเผื่อให้ลูก
1 เบอร์ เลือกเสื้อผ้าตัวใหญ่ ๆ
ฯลฯ ...อยากถามว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็น"เฉพาะ"ผู้ใช้แอมเวย์หรือครับ
อันที่จริงคนไทยเราก็ทำอย่างนี้มานานตั้งแต่ก่อนแอมเวย์เข้ามาเมืองไทยเสีย
อีก เช่น เราใช้ยาสีฟันจนหยดสุดท้าย
(แม้แต่แปรงสีฟันยี่ห้อนึงยังออกแบบมาให้ใช้ "รีด"
ยาสีฟันได้เสียด้วยซ้ำ...ซึ่งแปรงสีฟันยี่ห้อนั้นก็ไม่ใช่ของแอมเวย์)...อันนี้อยากถามว่าแอมเวย์
"ฉกฉวย"
วัฒนธรรมที่มีอยู่ก่อนเก่าไปเป็นของตัวเองรึเปล่า...ไม่มีปัญญาสร้างสรรความคิดใหม่
ๆ จาก"แอมเวย์" เองบ้างรึไง ?

5. จำนวน "ผู้ประสบความสำเร็จ" คือตั้งแต่ระดับ DD
ขึ้นไปในเมืองไทยมีกี่คน เอ้า...ผมให้ว่ามี 5 หมื่น
(ซึ่งจริงแล้วผมรู้ว่ามีไม่ถึงหรอก) 5 หมื่นคน ใน 2 ล้านคน
เป็นกี่เปอร์เซนต์ครับ คุณลองเทียบร้อยละหรือปัญญัติไตรยางศ์ดูได้เลยว่า
ธุรกิจที่มีคนประสบความสำเร็จแค่ 2-3
เปอร์เซนต์น่ะ...ช่างน่าช่วยกันพัฒนาให้ "สวยงาม" ในประเทศชาตินักนี่ครับ

6. การจะเป็น DD ได้คุณต้องขายของได้เป้า 150000 PV ใน 6 เดือน
เป็นการขายให้ได้เป้าติดกัน 3 เดือน (performanced)
ซึ่งหมายถึงว่าคุณต้องขายของให้แอมเวย์ประมาณ 2แสนบาท
(รวมทั้งให้สายงานของคุณขายด้วยนั่นล่ะ) ต่อเดือน
แปลว่าคุณต้องขายของได้อย่างต่ำ 1 ล้าน 2 แสนบาท ใน 1 ปี
(ซึ่งปกติแล้ว...มากกว่านั้น) ...ถ้าคุณมีเซลล์ขายของให้ได้ 1
ล้านกว่าบาทแบบไม่เอาเงินเดือน 1 ปี.. เขาควรจะได้คอมมิสชั่นกว่าแสนบาท
โดยในปีต่อ ๆไปเขาก็ขายให้ได้บ้าง...ไม่ได้บ้างเนื่องจากเขามี
"ลูกค้าเก่า ๆ" สำหรับกิจการของคุณ ทำไมคุณไม่ควรตอบแทนอะไรให้เขาบ้างล่ะ
ซึ่ง แอมเวย์ก็ให้...ผมรู้ เขาให้เงินเดือน เดือนละประมาณ 18000
บาทกับคุณ โดยที่คุณต้องเอาเงินนั้นจ่ายค่าน้ำมันรถของคุณเอง
จ่ายค่าอบรมสัมมนาเอง (และยังต้องจ่าย "พิเศษ" มากกว่าคนที่ยังไม่เป็น
DD ) ด้วยเพื่อเลี้ยง "สายงาน" ฯลฯ
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้...คุณยอมจ่ายง่ายจังเลยนะ
ถ้าคนที่มีปัญญาขายของได้มากกว่าปีละ 1 ล้านบาท
เอาเงินโบนัสหรือคอมมิสชั่นที่ได้เก็บไว้ทำเป็นทุน (ไม่ใช่หนี้)
แล้วทำกิจการเอง...เขาอาจจะมี "ตัวตน"
มากกว่าต้องไปหลบอยู่หลังเงาทมึนของแอมเวย์...ทั้งตระกูล...ก็ได้

7. เจลอาบน้ำ ซึ่งมักเอามาเปรียบเทียบกับ "ครีมอาบน้ำ" ของ LUX
แล้วพบความแตกต่างว่า...ครีมอาบน้ำของ LUX เกิดชั้นไขมัน
หรือแตกตัวให้กลิ่นแอมโมเนีย เมื่อผสมกับสบู่
ความเป็นจริงแล้วก็คือ...เจลอาบน้ำ ไม่ใช้สบู่อาบน้ำหรือ ครีมอาบน้ำ
สารตั้งต้นที่ใช้ผลิตต่างกันและวัตถุประสงค์ก็ต่างกันถ้าเอา "เจลอาบน้ำ"
ยี่ห้ออื่นมาทดลอง...ก็เหมือนกับแอมเวย์นั่นล่ะ
(แต่ราคาถูกกว่า) ในขณะเดียวกันถ้าเอา "สบู่" ของแอมเวย์มาละลายน้ำผสมกับ
"เกลือ"(แอมเวย์ใช้แทนเหงื่อ...แต่ใช้ในอัตราเข้มข้นกว่าความเค็มของเหงื่อจริง
ๆ หลายเท่า) ครับ แล้วทดลอง...ก็ให้ผลแบบเดียวกับ
LUX ...เรื่องนี้มีข้อขัดแย้งในตัวด้วยครับ
เพราะเหงื่อที่คนเราขับออกมาจากร่างกายไม่ได้มีแต่เพียงเหงื่ออย่างเดียว
โดยเฉพาะ คุณผู้หญิงด้วยแล้ว เหงื่อที่ขับออกมามี
"ไขมัน"มากกว่าซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นตัว "เปรี้ยวๆ"
อันเกิดจากการทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกับอากาศและการย่อยของแบคทีเรียบริเวณผิวหนัง
กับ "กรดไขมัน" ที่ร่างกายขับออกมาพร้อมเหงื่อ
คนไทยมีเหงื่อมากครับ...ซึ่งก็เป็นปกติ ส่วนการใช้เจลอาบน้ำ
เหมาะกับคนที่อยู่ในพื้นที่ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำเช่น
ในเขตภูมิอากาศอบอุ่นหรืออากาศหนาว (และอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน)
เพราะเค้าต้องรักษาความชื้นที่ผิวหนังและปกติเค้าก็ไม่ค่อยมีเหงื่อครับ

8. ยาสีฟันกลิสเตอร์ "ข้นกว่า" และไม่มีสารขัดฟันหยาบ ๆ เมื่อเทียบกับ
"พาโรดอนแท็กส์" เพราะ ว่ายาสีฟัน กลิสเตอร์เป็น "ครีมทำความสะอาด"
ไม่ใช่ยา "สี(ขัดสี)ฟัน"ความข้นในตัวมันเองเกิดจากมวลสารที่มีขนาดเล็ก ๆ
ซึ่งไม่แยกตัวง่าย ๆ
เมื่อมีการให้พลังงานเข้าไปเฉกเช่นยาสีฟันที่ใช้
"สารขัดฟัน"เป็นหลักแล้วใช้โมเลกุลอื่น ๆ
ที่เล็กกว่าเป็นตัวยึดเหนี่ยวหรือผสมผสานยาสีฟันกลิสเตอร์มักพูดถึงความเข้มข้น
(ซึ่งความจริงแล้วคือ "การไม่แยกตัว") โดยทำเป็นลืม ๆ เรื่องคุณภาพการ
"ขัดฟัน"
โดยโยนให้เป็นเรื่องของแปรงกับวิธีการสีฟันของผู้ใช้แทน

9. น้ำยาล้างจาน LOC ยาสระผม ...ฯลฯ
ของแอมเวย์ใช้สารตั้งต้นในหมู่อนุพันธ์" Loreth sulfate "(คนไทยเรียก
"หัวแชมพู") ซึ่งเป็นสารเคมีราคาถูก ๆ
และกำลังอยู่ในขั้นวิจัยว่าเป็นส่วนก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง
ซึ่งแชมพูสระผมในเมืองไทยหลายยี่ห้อเลิกใช้ไปแล้ว

10. เครื่องกรองน้ำของแอมเวย์ แพงกว่าเครื่องกรองน้ำที่มีขายในเมืองไทย 2
เท่าโดยค่าอะหลั่ยก็แพงกว่า 3-4 เท่า
แอมเวย์มักเอาเครื่องกรองน้ำของตนเปรียบเทียบกับสินค้าคุณภาพต่ำกว่า หรือ
"ไม่ตรงจุดประสงค์" ของผู้ออกแบบ เช่นเอาสารกรองซึ่งก็คือ
activated carbon ไปเปรียบเทียบกับ resin ทั้ง ๆ ที่ resin
มีไว้เพื่อกำจัดความกระด้างของน้ำ
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าที่คุณภาพสูงกว่า (และราคาถูกกว่า) เช่น
เครื่องกรองน้ำระบบ RO ก็อ้างว่าน้ำจากระบบ RO" กรองทุกอย่างออกไปหมด"
แม้แต่ "สารที่มีประโยชน์" โดยแอมเวย์ไม่ได้บอกว่า "สารที่มีประโยชน์"
ที่เครื่องกรองน้ำแอมเวย์ กรองไว้ไม่ได้มีอะไรบ้าง
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว...เครื่องกรองน้ำ แอมเวย์มีเพียงการกรอง 3 ขั้น
ขั้นแรกเป็นการกรองแบบเลวมาก ๆ ด้วยชั้นกรอง PP บางจ๋อย
จนเทียบกับไส้กรอง PP หรือไส้กรองเซรามิก ในท้องตลาดไม่ได้
ขั้นที่สองเป็นความภูมิใจของแอมเวย์และมักพูดกับผู้ซื้อราวกับแอมเวย์เท่านั้นที่
ทำสิ่งนี้ (ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมีการคิดค้น-
ใช้งานก่อนแอมเวย์ทำเครื่องกรองน้ำเองหลายปี) คือ Activated carbon
แต่เมื่อเทียบกับไส้กรอง AC
ในท้องตลาดแบบมาตรฐาน...ซึ่งใช้กันทั่วไปแม้ในอเมริกา (ของกันนั่นล่ะ)
จะพบว่าราคาของแอมเวย์แพงกว่า 3
เท่าตัวจนท่านสามารถซึ้อของยี่ห้ออื่นมาต่อ แบบอนุกรมได้ 2
เท่า...ซึ่งให้คุณภาพการกรองดีกว่า...ในราคาที่ต่ำกว่า ขั้นที่ 3
การกำจัดเชื้อ หรือระบบ Ultra violet
สินค้าของแอมเวย์เป็นหลอดรังสีที่ให้ค่า Lux ต่ำกว่าของที่ขายยี่ห้ออื่น
ๆ ...แต่อ้างว่าออกแบบให้มีการหมุนวนภายในระบบเพื่อเพิ่มระยะเวลา
retaintion time ) ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วค่าเวลาดังกล่าว
วัดจาก"อัตราการไหล" ที่ Input -Output เนื่องจากทางวิศวกรรมถือว่าเป็น "
ระบบปิด" แล้วจึงวัดที่ขนาดของระบบ
V= Q / A แม้ว่าภายในระบบจะจัดให้น้ำหมุนวนเป็น "กระแส"
อย่างไรก็ตามถ้าลำของกระแสนั้นเล็กมาก ( A ต่ำ ) V หรือความเร็วในการไหล
ก็จะสูงขึ้น เพราะ Q หรืออัตรา น้ำก็เท่า ๆ กัน
ดังนั้นทำไมไม่เลือกตัวจ่ายรังสีที่เฉียบขาดกว่าในการฆ่าเชื้อล่ะ ? ...ถ้าแอมเวย์จะอ้างว่ารังสีมากก็อันตรายมาก...ก็พาไปหา
"สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค"ได้เลย
เพราะขนาดของรังสีที่ใช้ในสินค้ายี่ห้ออื่นก็ผ่านมาตรฐานทั้งนั้น
(มักเป็นสินค้ากัน...เช่นเดียวกัน)
นอกจากนั้นแล้ว...เครื่องกรองน้ำของแอมเวย์ก็ใช้กรองน้ำบาดาลหรือน้ำกร่อยไม่ได้ครับ...ใช้ได้แต่การกรองน้ำประปาที่ปกติก็ดื่มได้อยู่แล้ว...เท่านั้น

11. เครื่องฟอกอากาศของแอมเวย์ "แพงมาก ๆ" ราคาเท่ารถมอเตอร์ไซค์ 1
คันหรือแพงกว่า เครื่องปรับ อากาศขนาด 1 ตัน 2 เท่า
ทั้งที่ระบบการกรองเป็นแบบ 3 ขั้นตอนที่ไม่มีเทคโนโลยี่อะไรมากมาย
คือกรองหยาบด้วยตะแกรง กำจัดกลิ่นด้วย Activated carbon และดัก mist
ด้วยไส้กรอง เฮพปา ตัวนี้ในเมืองไทยยังผลิตเองไม่ได้ แต่นำเข้ามาตัด
พับได้ เช่น ของ 3M) ในท้องตลาดมีสินค้าที่ มีระบบ เช่นเดียวกันนี้ 2-3
ยี่ห้อ โดยราคาถูกกว่า 8-10 เท่า แม้ว่ามีอัตราการไหลผ่าน (ขนาด)
เล็กกว่า ก็เล็กกว่าไม่ถึง 3 เท่า ดังนั้น...ซื้อตัวเล็ก ๆ สัก 3
ตัวก็ยังถูกตังค์กว่าเยอะปกติแล้วระบบฟอกอากาศที่ใช้กันทั่วไป
มักเป็นระบบที่ใช้ไฟฟ้าสถิตย์
(ความเป็นจริงคือการใช้สนามไฟฟ้าในการดีดแล้วจับฝุ่นละออง) ซึ่งเราสามารถ
"ถอดล้างทำความสะอาด" ได้ ไม่ต้องซื้อใหม่กันตะบี้ตะบัน
คุณภาพการกำจัดฝุ่นของระบบ "EP" อยู่ที่ประมาณ 90 % ( ส่วนแฮพปา อยู่ที่
95 % ) โดยวัดที่ "ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่าความชื้นสัมพัทธ์ในเมืองไทย"
และระบบแฮพปานั้นจะมีปัญหาทันทีถ้าความชื้นสัมพัทธ์สูงๆ ...ซึ่งก็หมายความ
ว่าเครื่องฟอกอากาศของ แอมเวย์ใช้ได้เฉพาะในห้องแอร์
(เพื่อคงไว้ซึ่งคุณภาพตามคำบรรยาย) ...เท่านั้นครับ

12. เรื่องผงซักฟอก SA8 ของแอมเวย์ที่อ้างถึง "การรักษาสภาพแวดล้อม"
เนื่องจากย่อยสลายได้... ผงซักฟอกทุกชนิด -
ทุกยี่ห้อที่ขายในเมืองไทยต้องไม่ผสมสารที่ก่อให้เกิดฟอสเฟตในอัตราที่เป็นอันตรายครับ
เนื่องจากผงซักฟอกเป็น "มาตรฐานบังคับ"
ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ( สมอ.)
การกล่าวอ้างว่าผงซักฟอกอื่น "ทำลาย"
สิ่งแวดล้อมจึงเป็นการสบประมาทเจ้าหน้าที่ ( หรือกฎหมายของบ้านเมือง )
ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ( มาตรฐาน "บังคับ"เป็นมาตรฐานที่
"ต้อง" ทำให้ได้ ถ้าจะขายสินค้านั้น
ๆ )...ถ้าพบใครพูดเช่นนั้นหรือทำนองนั้น...ก็บอกเค้าด้วยว่า...อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทครับ
( จำคุก 1- 3 ปี...ถ้าผมจำไม่ผิด )

-วิทยากรของทางแอมเวย์ส่วนใหญ่ล้วน
สร้างประวัติของตนเท็จเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
และแรงจูงใจแก่ผู้ร่วมงานด้วยกัน (ไม่เชื่อลองไปเช็คดูได้)

-ส่วนคนที่รักแอมเวย์ ก็คล้ายๆคนโดนซื้อสิทธิ์ละครับ ได้ผลประโยชน์ได้
จากเขามา แล้วก็ทำเป็นรักเขาโดยไม่มองภาพรวม
อีกอย่าง แอมเวย์เป็น จิตวิทยาที่ซับซ้อน
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในสังคมปกติ+ มีปัญหาอะไรบางอย่างทางด้านพื้นฐาน
จะเป็นเหยื่อได้ง่ายมาก

 ตอนนี้แอมเวย์รุกกลุ่มใหม่แล้วคือนักศึกษา
 เหล่าคนที่อยากรวยแต่ไม่อยากทำอะไร+ไร้ประสบการณ์
เป็น ขุมวัตถุดิบชั้นยอดของมันเลย
แอมเวย์บางคน เกลี้ยกล่อม คนที่กำลังเขวว่า อย่าไปสนกระแสสังคม
มันหมายความว่าไง   คือคนที่ ข้ามจุดๆนึงไป
(เราเคยยืนจุดนั่นมาแล้วแต่ไม่ได้ข้าม) จะมีทัศนะคติที่ต่างไป ดังนี้
  ในขั้นแรกที่สมัคร เขาจะบอกว่า ไม่ต้องเดินขาย ไม่ต้องง้อใคร
อยู่ๆก็ได้เงินเองแค่สร้างเครือข่าย
หลังจากนั้น ก็จะพาเราไปอบรม จากวิทยากร + พบสังคมของเขา วันๆก็มีแต่
แอมเวย์ๆ โดยคนพาไป จะกระตุ้นตลอด
พอ อบรมไประยะ ก็จะเกิดอารมณ์อยากทำ เห็นทางสว่าง เริ่มฝัน
ทั้งๆที่ลืมตัวไป ว่าเราไปขาย+ชักจูงเสียแล้ว
พอทำไป ระยะนึง ก็จะถึงจุดสำคัญ คือ ความคิดที่ว่า
จะเอาต่อเป็นมนุษย์แอมเวย์ที่รวยแต่คนทั่วไปเจอแล้วรังเกียจ
(เจ้าตัวไม่แคร์)
หรือ จะกลับไปเป็น มนุษย์ในสังคมปกติ
   ในระยะนี้ จะมีการเสริมแรง ยุยง สาระพัด ทั้ง CD เทป หนังสือ
อบรมต่างๆนาๆ

   สื่อเหล่านี้ล้วนนำนักจิตวิทยา
มาพูดเพื่อให้เข้าถึงส่วนลึกของสมองหรือที่เรียกได้ว่าสะกดจิตนั่นเอง!!!...จบ

_________________________________________________________________
Windows Live™: Keep your life in sync.http://windowslive.com/explore?
ocid=PID23384::T:WLMTAGL:ON:WL:en-US:N.
..

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เพื่อนที่ดีของคุณ.....

---- ความคิดสมัยอนุบาล
เพื่อนที่ดีคือคนที่ให้สีเทียนสีแดงกับคุณ
เมื่อมีเหลือแต่สีเทียนสีดำทะมึน
............
---- ความคิดสมัย ป.1 เพื่อนที่ดีคือคนที่ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนคุณ
แล้วก็จับมือคุณระหว่างเดินผ่านห้องโถงที่น่ากลัว
....................
---- ความคิดสมัย ป.2
เพื่อนที่ดีคือคนที่ทำให้คุณเข้าเรียนคลาสที่ไม่อยากเรียน (มั้ง)
.....................
---- ความคิดสมัย ป.3 เพื่อนที่ดีคือคนที่แบ่งอาหารกลางวันให้คุณ
เมื่อคุณลืมกล่องข้าวไว้ที่บ้าน = =?
...............
---- ความคิดสมัย ป.4
เพื่อนที่ดีคือคนที่ยอมเปลี่ยนคู่เต้นในวิชาลีลาศ
เมื่อคุณไม่อยากจับคู่เต้นอยู่กับนิกจอมลามก หรือเอ็มกลิ่นแรง
............
---- ความคิดสมัย ป.5
เพื่อนที่ดีคือคนที่เผื่อที่นั่งให้คุณเมื่อถึงมื้อเที่ยง
...........
---- ความคิดสมัย ป.6
เพื่อนที่ดีคือคนที่พาคุณไปหาคนที่คุณตกหลุมรัก
เพื่อขอให้เค้ามาเต้นรำกับคุณ
เผื่อว่าเค้าปฏิเสธคุณจะได้ไม่ต้องอายไง
-----------------------------------------------------------------------------------
---- ความคิดสมัย ม.1 เพื่อนที่ดีคือคนที่ให้คุณลอกรายงานสังคม
.............
---- ความคิดสมัย ม.2 เพื่อนที่ดี คือคนที่ช่วยคุณทำรายงานกลุ่ม
และไม่เคยนินทาคุณลับหลัง
...................
---- ความคิดสมัย ม.3 เพื่อนที่ดี
คือคนที่เปนที่ปรึกษาปันหาหัวใจให้คุณ และอินกับคุณในทุกๆอารมณ์
....................
---- ความคิดสมัย ม.4 คือ คนที่ยอมเปลี่ยนวิชาเรียน
เพื่อที่คุณจะได้มีเพื่อนนั่งกินข้าว
................
---- ความคิดสมัย ม.5
เพื่อนที่ดีคือคนที่ยอมให้คุณขับรถใหม่ของเค้า
ช่วยคุยกะพ่อแม่ของคุณเวลาคุณมีปัญหา
แล้วก็คอยปลอบคุณตอนที่คุณเลิกกับแฟน
..............
---- ความคิดตอน ม.6
เพื่อนที่ดีคือคนที่ช่วยคุณเลือกมหาวิทยาลัยที่จะเข้า
แล้วก็บอกกับคุณว่าคุณเข้าที่นั่นได้แน่
แถมยังช่วยคุยกับพ่อแม่ให้ยอมให้คุณไปเรียนมหาลัยนั้นอีกด้วย
..........
---- ในงานจบการศึกษา เพื่อนที่ดีของคุณ คือคนที่ร้องไห้เงียบๆ
ในใจ แล้วก็แบ่งปันรอยยิ้มกว้างๆ ให้คุณ
หน้าร้อนหลังจบ ม.6
เพื่อนที่ดีคือคนที่ช่วยคุณล้างขวดหลังงานปาร์ตี้
ช่วยคุณแอบย่องออกจากบ้านตอนที่คุณตกลงกับพ่อแม่ไม่ได้
ทำให้คุณกับแฟนกลับมาคบกันอีก ช่วยคุณเก็บของเพื่อย้ายไปมหาลัย
แล้วก็กอดคุณอย่างเงียบๆ มองคุณด้วยแววตาที่ขุ่นมัว
พร้อมกับความทรงจำ 18 ปีที่ผ่านมา
ให้กำลังใจคุณในทางที่คุณเลือกเดินเหมือน 18 ปีที่ผ่านมา
...............................
และตอนนี้ เพื่อนที่ดี
ยังคงเป็นคนที่ให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
จับมือของคุณเมื่อคุณกลัว
ช่วยคุณต่อสู้กับสิ่งที่พยายามเอาเปรียบคุณ
คิดถึงคุณตลอดเวลาที่คุณไม่อยู่ เตือนคุณในสิ่งที่คุณลืม
ช่วยคุณผ่านอดีตแต่ก็เข้าใจเมื่อคุณอยากอยู่กับอดีตอีกซักนิด
อยู่กับคุณเพื่อให้คุณมีความมั่นใจ หรือไปไกลๆ คุณซักพัก
เพื่อให้คุณได้มีเวลากับตัวเอง ช่วยคุณแก้ไขความผิดพลาด
ช่วยคุณจัดการกับความกดดันทั้งหลาย ยิ้มให้คุณเมื่อยามคุณเศร้า
ช่วยให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น และอย่างสำคัญที่สุด คือ ?รักคุณ?
.....................
ขอบคุณสำหรับความเป็นเพื่อน ไม่ว่าเราจะไปถึงจุดไหน
หรือเรากลายเป็นอะไร จะไม่มีวันลืมคนที่ช่วยให้เราไปถึงจุดนั้น
..............
ไม่มีการผิดเวลาที่จะโทรศัพท์ หรือส่งข้อความ
เพื่อบอกเพื่อนของคุณว่า คุณคิดถึงพวกเค้าขนาดไหน
หรือว่าคุณรักพวกเค้าขนาดไหน
...............
ถ้าคุณรักใครซักคน ก็บอกเค้าซะ
จำไว้เสมอเลยนะว่าพูดสิ่งที่คุณคิด สิ่งที่คุณหมายถึง
อย่ากลัวที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเอง
ใช้โอกาสนี้ในการบอกใครซักคนที่มีความหมายกับคุณ
คว้าเอาไว้แล้วจะไม่เสียใจ
..............................
สิ่งสำคัญที่สุด อยู่ใกล้ๆ กับเพื่อนและครอบครัว
สำหรับการที่พวกเค้านั้นทำให้คุณกลายมาเป็นคุณในวันนี้
บอกความรู้สึกซะ ให้เกิดความแตกต่างขึ้นในวันของคุณและเค้า
....................
ความแตกต่างระหว่างการแสดงความรัก และการเสียใจ คือ
การเสียใจอาจจะอยู่ตลอดไป

วิธีทดสอบกระจก ก่อนลองเสื้อผ้าตามที่สาธารณะ

เป็นเรื่องสำหรับเตือนภัยสาวๆนะคะ รู้ไว้เป็นความรู้ เผื่อว่าสักวันนึงถ้าจำได้คงมีโอกาสได้ใช้

เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เพื่อนๆ รู้จักกระจกที่มีสองด้านหรือที่เรียกกันว่า 2 Ways Mirror ไหม คือ

กระจกที่สามารถ มองเห็นได้อีกด้านหนึ่งหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขาเห็นเราได้ แต่เราไม่เห็นเขา

สิ่งที่เราเห็น เป็นเพียงภาพสะท้อนของตัวเราเองไง

ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราไปเข้าห้องน้ำ ตามสถานที่สาธารณะต่างๆเราคงไม่เคยคิดเลยว่า

กระจกที่เราส่องอยู่ตรงหน้านั้นอาจจะมีคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งแอบดูเราอยู่ก็เป็นไปได้

แม้แต่ห้องน้ำ หรือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าตามโรงแรมเราจะไว้ใจได้อย่างไรล่ะ ?

ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราก็มีวิธีทดสอบกระจกสองด้าน แบบง่ายๆ

สำหรับสาวๆให้จดจำและ นำไปใช้ได้นะ การจะพิสูจน์กระจกสองด้าน

โดยการมองด้วยตาเปล่านั้นเราไม่สามารถทำได้ซึ่งสาวๆ สามารถใช้วิธีทดสอบ

ด้วยปลายเล็บของคุณนี่แหละวิธีปฏิบัติ!!! ก็คือ ชี้ปลายเล็บไปที่กระจก

ถ้าระหว่างปลายเล็บของคุณกับเงาที่สะท้อนในกระจกนั้นมีช่องว่างเล็กๆ คั่นกลางอยู่

แสดงว่านั่นคือกระจกที่ใช้สำหรับส่องจริงๆแต่ถ้าระหว่างปลายเล็บของคุณ ชิดติดกับเงา

ที่สะท้อนโดยตรงแล้วนั่นล่ะ กระจกสองด้านของจริงเลยล่ะ

เพราะฉะนั้นสาวๆ ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อVirtually Raped ของพวกบ้ากามถ้ำมอง

ก็ควรสละเวลาไม่ถึง 10 วินาทีกับการทดสอบด้วยปลายเล็บนะ

วิธีทดสอบนี้ ได้ผลจริงๆ

สาวๆทั้งหลาย...... ลองนำไปใช้กันดู

นัยอันล้ำลึกของคำว่า "ขอบคุณ"

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ

ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขาพ
ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ

เจริญพร
ว วชิรเมธี

10 อาหารอันตราย

1.แฮมเบอเกอร์

แฮมเบอร์เกอร์ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่ แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ

2.ฮอทด็อก

ฮอทด็อกทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่ แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100%

3.เฟรนช์ฟราย

เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท

4.โอริโอ้ คุกกี้

ที่เด่นชัดมากก็คือ ส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว
ช็อกโกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเ่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น

5.พิซซ่า

พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม 5 ชนิด
-. เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้น

-. แป้งที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไป ใหม่

-ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน

-แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม

-มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้

6.น้ำอัดลม

สารตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วันกรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้

7.ชิ้นไก่เนื้อนุ่มไม่มีกระดูก

ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆการรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมันมีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะ

8.ไอศครีม

มีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเ่ยวย่น

9.โดนัท

โดยเฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน
มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้

10.โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยวว ว

การทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สรุปไตรมาส2ผ่านมาได้อะไร

ชีวิตมีอะไรมากมายจริงๆ ผิดถูก ดีชั่ว มากมายจริงๆ หลายๆสิ่งหลายๆอย่างเรารู้ว่าผิดแต่ก็ยังทำ บางอย่างเรารู้ว่าถูกแต่ก็ทำไม่ได้ ด้วยสังคมและความคิดในตัวเองที่คิดว่าใช่มันก็เลยเป็นตัวเราทั้งนั้น (ถ้าคิดได้คงเป็นประธานาธิปบดีโอบาม่าไปแล้ว)

ความคิดก็ดีขึ้นมองโลกจากประสบการณ์ที่ผ่านๆมาได้มากขึ้นและเข้าใจมันมากขึ้นว่า " อ๋อมันเป็นจั่งซั่น " ความรู้มีอยู่รอบตัว เมื่อเราหยุดหาความรู้เท่ากับเราจะโง่ลงโดยทันที
ความรู้เอามาทำใม เอามาใช้กับชีวิตให้มันง่ายขึ้น ทำยังไงก็ได้ให้เสร็จเร็วยิ่งขึ้นแต่ผลที่ได้ก็ต้องดีด้วย

เพื่อนมันก็ค่อยๆหายไปทีละคนจากคำว่า " ผลประโยชน์ " ด้วยการที่ยากที่จะบอกปฎิเศษเลยลองบ้างและด้วยที่เรามีแฟนและอยากมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นๆเลยบอกปัดไปหลายๆครั้ง เพื่อนๆมันก็หายๆไป แต่ก็ได้เพื่อนแท้จริงๆกับมา 1 ท่าน บอกได้เลยว่านั่นคือ " ฮัท " ฮัทซื้อใจผมได้มากจริงๆ ด้วยเหตุการณ์และคำพูดของฮัท ทำให้เรารักคนๆนี้มาก

ช่วงที่คิดว่าดีที่สุดคือช่วงที่ได้รู้จักหญิง เธอเปลี่ยนเราไปได้มากๆ จากที่ไม่สนใจชีวิตไม่สนอะไรนอกจากสันหาของตัวเอง มันพลิกไปหมด เธอช่วยเรามากๆสอนเรามากๆมองเห็นชีวิตมากขึ้นเข้าใจสัจธรรมมากขึ้น เธอเคยถามเราว่าเราคิดไปเองหรือเปล่า เปล่าไม่เคยคิดไปเอง เพียงแต่คิดว่าถ้าเธอคิดว่าสิ่งที่เธอทำนั้นทำให้ได้กับทุกๆคนเท่าๆกันไม่ได้เจาะจงว่าเป็นเรา เราไม่ว่า แต่ !! ถ้าหากวันนึงทุกๆคนที่เธอทำให้ได้กับกลายเป็นเราคนเดียว เราคงเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ซักวันนึง... และเราก็จะทำให้เธอเหมือนกัน

ย้อนกลับมาที่ความต้องการคือ " ความสุข " ก็ยังต้องการเหมือนเดิม 3 เดือนที่ผ่านมาถือว่าความสุขใช้ได้ ลองมองกลับไปก่อนหน้านี้ ความสุขหายากมากๆ เมื่อก่อนสิ่งที่มองว่าความสุขคือ " ทำเพื่อคนอื่น คนอื่นทำเพื่อเรา " โถ๋ๆตอนนี้แทบจะกลับไปตบกระบาลตัวเอง เป็นคนดีแล้วได้อะไรแล้วก็มานั่งรับกรรมคนเดียว บอกๆกันไปก็ได้แค่คำว่าเสียใจด้วยนะ สุดท้ายก็เป็นตัวเราเองทั้งนั้นที่จะได้รับในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น

อยากเป็นคนดี อยากให้ทุกๆคนรัก อยากมีความสุข อยาก... soon !!

อัสนี is my hero



เป็น intro ก่อน consert ที่พี่ป้อมใช้เปิดตัว แต่เล่นโดย chatreeo เนื่องจากต้นฉบับต้องไปดู consert เองครับ
ผมชอบมาก มีระดับเสียงเบาเสียงแรงสูงต่ำลงตัวมากๆ
ขอบคุณครับพี่ป้อมที่ใช้สมองให้ผมได้ฟัง

Sean Bennett, a living child prodigy



สิ่งที่คนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ไม่อาจเข้าใจได้ก็คือ อัจฉริยะเหล่านี้สามารถทำสิ่งที่น่าทึ่งเหล่านี้ได้อย่างไร? สมองของพวกเขาทำงานต่างจากพวกเราอย่างไร?

เอามาให้ชมเล่นๆ ครับ เผื่อจะช่วย inspire คุณได้บ้าง

ตำนานมาเฟีย


ชาร์ลส์ "ลัคกี้" ลูเชียโน่ หัวหน้ามาเฟียของนครนิวยอร์ก (พ.ศ. 2440 - 2505)



เมื่อ เร็วๆนี้ คำว่า มาเฟีย ได้กลายมาเป็นคำที่ชาวไทยเราได้ยินกันจนชินหู หลังจากมีข่าวเกี่ยวกับ มาเฟียโบ๊เบ๊ รวมไปถึงมาเฟียในอีกหลายแห่งทั่วประเทศไทยเรา กระนั้น เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่อาจจะยังไม่รู้แน่ชัด ถึงที่มาของคำที่ฟังดูช่างดูทรงอำนาจและน่ากลัวอย่าง มาเฟีย และวันนี้คอลัมน์ WEST ของเราก็จะพาคุณผู้อ่านไปร่วมผจญภัยในโลกแห่งมาเฟียกัน

มาเฟีย ชื่อนี้มีที่มา
มาเฟีย โดยดั้งเดิมแล้ว คือชื่อเรียกของกลุ่มพันธมิตรแบบหลวมๆในซีชีลี ซึ่งในยุคกลางพวกเขาได้รวมพลังกันเพื่อต่อต้านชาวเติร์กและชาวนอร์มัน จนในภายหลังได้กลายเป็นชื่อเรียกองค์กรลับต่างๆในอิตาลี สำหรับที่มาของคำว่า มาเฟียนั้น ยังคงไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร เนื่องจากมีเรื่องเล่าถึงที่มาที่หลากหลายแตกต่างกันไปเหลือเกิน โดยความเชื่อแรกนั้นว่ากันว่า มาเฟีย มีที่มาจากคำคุณศัพท์คำว่า Mafiosoในภาษาอิตาลีซึ่งใช้เรียกสมาชิกในกลุ่มอิทธิพล โดย Mafioso มีความหมายว่า ชายแห่งเกียรติยศ เริ่มใช้กันในศตวรรษที่ 18 โดยเดิมทีนั้น คำว่า มาเฟียเป็นคำที่มีความหมายแสดงถึง ความสวยงาม ความยอดเยี่ยม และความสมบูรณ์แบบ ก่อนที่จะกลายเป็นคำที่หมายถึงองค์กรอาชญากรรมอย่างในปัจจุบัน

นอก จากนั้น ยังมีการสันนิษฐานกันว่า มาเฟีย อาจจะมาจากคำขวัญที่ว่า Morte alla Francia Italia anela ที่มีใจความว่า ความตายของคนฝรั่งเศสคือการร่ำไห้แห่งอิตาลี โดยเป็นการนำอักษรตัวแรกของแต่ละคำมารวมไว้เข้าด้วยกัน ซึ่งผู้ที่อ้างถึงที่มาอันนี้ก็คือ อดีตเจ้าพ่อมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ในสหรัฐฯ ดอน โยเซฟ โบนันโน ผู้ที่เล่าว่าคำขวัญดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงปี 1282 เมื่อชาวซีชีลีได้ลุกฮือต่อต้านฝรั่งเศส

โบนันโนเล่าว่า ในตอนนั้นมีทหารฝรั่งเศสคนหนึ่งไปข่มขืนเด็กสาวชาวซิซิลี และเมื่อแม่ของเด็กรู้เรื่องเข้า จึงวิ่งออกไปบนถนนในเมืองปาเลร์โม พร้อมกับร่ำไห้เป็นภาษาอิตาลีว่า ma fia ซึ่งมีความหมายว่า ลูกสาวของฉัน ด้วยเหตุนี้ บรรดาชายหนุ่มในเมืองปาเลร์โมจึงรุมสังหารทหารฝรั่งเศสนายนั้นเพื่อล้างแค้น

ส่วน ที่มาสุดท้ายก็คือ ทฤษฎีที่มีความเก่าแก่มากที่สุด โดยแนวความคิดนี้เชื่อกันว่า มาเฟียเเพี้ยนเสียงจากคำในภาษาอาหรับที่ว่า mu afah โดย mu มีความหมายว่า ความแข็งแรง หรือเครื่องป้องกัน ส่วน afah มีความหมายว่า คุ้มครอง หรือป้องกัน เมื่อรวมกันแล้วจึงเป็นคำที่สื่อถึงความหมายในการให้ความคุ้มครองแก่บรรดา สมาชิก เพราะในศตวรรษที่ 9 นั้น ซีชีลีอยู่ภายใต้การปกครองครองของกองกำลังอาหรับที่กดขี่ และชาวซีชีลีจึงจำต้องเข้าไปหลบตามเขา ต่อมา ชาวซีชีลีจึงได้รวมตัวกันจัดตั้งองค์กรลับขึ้น

อิตาลี แหล่งกำเนิดมาเฟีย

ใน อิตาลีอันเป็นต้นกำเนิดของมาเฟียนั้น กลุ่มองค์กรอาชญากรรมอย่างมาเฟียได้ปรากฏอยู่มาเป็นเวลานานหลายศตวรรษแล้ว แต่จะแตกต่างกันไปตามท้องที่และยุคสมัย จนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษที่ 1950 มาเฟียที่เคยมีฐานอยู่ตามชนบทได้กระจายตัวออกไปตามเมืองใหญ่ต่างๆ ก่อนจะกลายมาเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ประกอบธุรกิจมืดต่างๆ เช่น การค้ายาเสพติด และค้าโสเภณี และมาเฟียในแบบฉบับของอิตาลีนั้น จะทำกันเป็นครอบครัวหรือเครือญาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเกาะซีชีลี ของอิตาลี และเมืองใหญ่อื่นๆในอิตาลี

กระนั้น ในช่วงที่อิตาลีอยู่ใต้การปกครองระบอบเผด็จการฟาสซิสต์นั้น เซซาร์ โมรี ผู้ปกครองเมืองปาเลร์โมก็ได้ใช้กำลังปราบบรรดามาเฟีย จนทำให้บรรดาสมาชิกมาเฟียถูกคุมขัง บ้างก็หนีออกไปนอกประเทศ โดยส่วนใหญ่หนีไปที่สหรัฐฯ และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯยกกำลังบุกอิตาลีและเกาะซีชีลีเมื่อปี 1943 นั้น สหรัฐฯเองก็ได้ใช้ประโยชน์จากบรรดามาเฟียที่ถูกขังคุกอยู่ในสหรัฐฯในการช่วย เบิกทาง และภายหลังจากชนะสงคราม บรรดามาเฟียเหล่านี้ก็ได้รับการตอบแทนจากสหรัฐฯด้วยการส่งตัวกลับประเทศ และกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในยุคหลังเผด็จการ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 นั้น ได้เกิดการต่อสู้ฆ่าฟันกันระหว่างกลุ่มต่างๆอยู่บ่อยครั้ง ทำให้บรรดามาเฟียที่มีชื่อเสียงถูกสังหารไปเป็นจำนวนมาก และเมื่อมาเฟียรุ่นเก่าจากไป มาเฟียรุ่นใหม่จึงเกิดขึ้นตามมา มาเฟียในรุ่นหลังนี้มักจะเป็นกลุ่มระดับ พนักงานคอปกขาว (White collar) แทน จนสื่อในอิตาลีได้พากันเรียกมาเฟียยุคใหม่นี้ว่า La Cosa Nuova ที่มีความหมายว่า สิ่งใหม่

ล่าสุด จากการเปิดเผยขององค์การค้าชั้นนำในอิตาลีนั้นระบุว่า 20 % ของธุรกิจทั้งหมดในอิตาลีนั้น ถูกควบคุมโดยมาเฟีย และมีผลตอบแทนต่อปีสูงถึง 133,000,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 15 ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) โดยบรรดามาเฟียจะเอาผลกำไรที่ได้มานี้ ไปลงทุนต่อในธุรกิจเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์ คลินิก บ้านพักคนชรา ซูเปอร์มาร์เกต โรงแรม และร้านอาหาร

มาเฟีย ในอิตาลีนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของการเข้าไปมีอิทธิพลในสถาบันการเมือง และข้าราชการต่างๆ ด้วยการติดสินบนผสมกับการสร้างความกลัวให้เกิดขึ้น ซึ่งผู้ที่ไม่ยอมตอบสนองความต้องการของมาเฟียก็มักจะจบชีวิตลง เช่น เมื่อปี 1992 ผู้พิพากษา เปาโล บอร์เซลลีโน และอัยการ จิโอวานนี ฟัลคอน ก็ถูกสังหาร โดยที่ทั้งสองคนต่างเป็นผู้ที่ต่อต้านมาเฟีย

บทสรุปแห่ง มาเฟีย

ปัจจุบัน นี้ มาเฟีย ไม่ได้อยู่แต่เพียงในอิตาลีเท่านั้น แต่อยู่ในหลายๆประเทศทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐฯที่เป็นเป้าหมายของบรรดามาเฟียที่หลบหนีออกจากอิตาลี ในช่วงที่ถูกรัฐบาลเผด็จการกวาดล้างอย่างหนัก และจากวันนั้นจนถึงวันนี้มาเฟียอิตาลียังคงฝังตัวอยู่ทั่วสหรัฐฯโดยเฉพาะใน นครนิวยอร์กและชิคาโก โดยผ่านทั้งช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์และตกต่ำ

กระนั้น ในอีกมุมหนึ่ง ปัจจุบันมาเฟียหาได้หมายถึงกลุ่มอาชญากรจากอิตาลีเท่านั้นเพราะเรานิยมเรียก กลุ่มอาชญากรขนาดใหญ่ทั่วไปว่ามาเฟียด้วยเช่นกัน เช่น มาเฟียรัสเซีย มาเฟียฮ่องกง มาเฟียโบ๊เบ๊ หรือแม้แต่กลุ่มมาเฟียตามโรงเรียนต่างๆทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ เราอาจจะกล่าวได้ว่า มาเฟียนั้นได้แทรกซึมตัวอยู่ในทุกหนทุกแห่ง แต่หากจะถามว่าต้นฉบับของมาเฟียนั้นมาจากที่ใด ก็คงจะตอบได้ว่าคือ มาเฟียแห่งเกาะซีชีลีของอิตาลีนั้นเอง


บัญญัติ 10 ประการของสมาชิกแก๊งมาเฟียอิตาลี มีดังนี้
1.ไม่มีใครสามารถติดต่อพบปะตัวสมาชิกแก๊งโดยตรงได้ ต้องให้บุคคลที่สามเป็นผู้นำผู้ที่ต้องการเข้าพบมาเจอกับสมาชิกแก๊งเสมอ
2. ห้ามมองภรรยาของเพื่อนสมาชิก
3. ห้ามมีความสัมพันธ์กับตำรวจ
4. ห้ามไปผับและคลับบันเทิง
5. ต้องเตรียมพร้อมเสมอสำหรับการทำหน้าที่ แม้ว่าภรรยาใกล้จะคลอดลูก
6. ต้องไปตรงเวลานัดทุกครั้ง
7. ต้องปฏิบัติต่อภรรยาด้วยการให้เกียรติ
8. เมื่อถูกถาม ต้องตอบความจริงเท่านั้น
9. ไม่ควรใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย หากเงินนั้นเป็นของเพื่อนสมาชิกหรือเป็นของครอบครัวเพื่อนสมาชิก
10. บุคคลที่ไม่สามารถร่วมแก๊ง ได้แก่ ผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตำรวจ ผู้ที่ประพฤติตัวแย่และไม่เคารพศีลธรรม และผู้ที่มีญาติซึ่งคบชู้สู่ชายในครอบครัว"

ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคนมีความรัก

เคยได้ยินสำนวนอันหนึ่งไหมครับ ที่บอกว่า
สิ่งที่ดูน่ากลัว มักจะไม่อันตราย
สิ่งที่อันตราย มักจะดูไม่น่ากลัว

ว่ากันว่า.. ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคนมีความรัก
คือการที่รักกันมาแนบแน่น สวยหรู
โดยไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเลย
เพราะความสวยงามราบรื่น มันทำให้เรา "วางใจ"
จนอาจลืมไปว่า.. ยังไงๆ เขาก็เป็น "คนอื่น"
ยังไงๆ เขาก็มีหัวใจคนละดวงกับของเรา
สมองคนละก้อน ตัดสินใจได้เอง รู้สึกได้เอง
ว่าจะรัก จะเลิก จะอยู่หรือจะไป

ในเวลาอกหัก ใครจะมาบอกมาพูดอะไรสามวันสามคืน
ก็ไม่ช่วยอะไรได้มาก เท่ากับการมีปัญญาขึ้นในใจเราเอง

ถ้าเราเข้าใจได้ว่า คนเราเกิดมาเพื่อพบกัน
เพื่อมีวันเวลาที่ดีด้วยกัน
และเพื่อพรากจากกันในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว
เราก็จะทำใจ และปล่อยวางได้
โดยไม่ต้องการคำอธิบาย หรือตรรกะเหตุผลอะไรมากมาย

เวลาเจอเรื่องแบบนี้
อย่าเสียเวลาถามว่า "ทำไม" ให้มากความนะครับ
คิดเสียว่าเขาตายจากชีวิตเราไปแล้ว
คนที่เคยเป็นคนรักแสนดีของเรา เขาไม่อยู่ในโลกของเราแล้ว

ถ้าเรารักเขามากจริงๆ อย่างที่บอกเขาเสมอ
นี่ไง.. สิ่งสุดท้ายที่เราจะให้เขาได้
"ให้อภัย" ไงครับ

คิดเสียว่า เขาจะมีความสุขมากกว่าที่ได้อยู่กับเรา
อวยพรให้เขาโชคดี ในโลกใหม่ของเขา

ไม่ต้องรอเขาหรอกนะครับ
อย่าไปหวังลมๆแล้งๆ ว่าคนตายแล้วจะฟื้นกลับมา
เพราะมันมีแต่ในหนังแฟรงเก้นสไตน์

และถึงเขาจะกลับมา เชื่อเถอะครับว่า
ความรู้สึกดีๆ มันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว

เขาเลือกทางเดินชีวิตของเขาแล้ว
เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเขาแล้ว
เราก็เลือกได้เหมือนกัน
ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือจมปลักในทุกข์นี้ต่อไป

อยากร้องไห้ก็ร้องแต่พองาม พอให้รู้สึกว่าเรามีเลือดเนื้อ
แต่อย่าร้องจนเสียจริต เหมือนคนคิดสั้น
เพราะถึงเราจะร้องจนน้ำท่วมทุ่งกุลาร้องไห้
ก็ไม่ทำให้อะไรๆกลับมา เหมือนเดิม

เราอาจรู้สึกเหมือนโลกดับ วับหาย
แต่เปล่าหรอก.. ชีวิตเพิ่งจะเริ่มเรียนรู้ความจริง

การเรียนรู้ความรู้สึกของการสูญเสียครั้งใหญ่
เป็นบทเรียนสำคัญของมนุษย์
ที่จะได้สอนตัวเองว่า .. อย่ายึดมั่นถือมั่น
ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

ทั้งเรา ทั้งเขา ทั้งใครๆ
ทั้งสิ่งนั้น สิ่งนี้ สิ่งไหน
ทั้งโลกนี้ จักรวาล และกาลเวลา

ใครที่ป่วยใจอยู่ ขอให้เข้มแข็ง.. หนักแน่น.. มีสติ