วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การลดกรรม 34 อย่าง

1. กรรมที่ไม่มีลูก

กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือ มูลนิธิเด็กอ่อน

2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย

กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา

กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สาธารณะ
ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพร! ะ บริจาคเงินในกล่องซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด

4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย

กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ

5. สูญเสียคนใกล้ชิด

กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย

กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข

7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด

กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายฟรี

8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร

กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้

9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย

กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย

10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน

กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่างสม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้

11.ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ชาดเสน่ห์

กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดีปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด

12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว

กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่นพิมพ์หนังสือ ธรรมะจ่ายแจกฟรี

13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค

กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก

14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป

กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์

15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ

กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนา! ถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ

16. อาภัพคู่ ร้างคู่

กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น

17. ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์

กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย

กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา

19. รูปร่างหน้าไม่งดงาม

กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
ลดกรรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล

20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน

กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น!
ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆเดือน

21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ

กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

22. มีคดีความ

กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆละ 7 วัน

23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง

กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บู! ชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด

24. จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห

กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
ลดกรรม สวดมนต ์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ

25. ไม่มีชื่อเสียง

กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา

26. ไม่มีวาสนาบารมี

กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
ลดกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน

27. มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง

กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรม อุทิศให้ลูกตนเอง

28. เจอแต่คนเอาเปรียบ

กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆเข้ามาในชีวิต

29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ

กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา

กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น!
ลดกรรม นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์

กรรมจาก เคยชักจูงคนทำชั่ว
ลดกรรม ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน

32. จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์

กรรมจาก เคยริษยาผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงน้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

33. ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ

กรรมจาก เคยทำแท้ง
ลดกรรม ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆเดือน จนครบ 9 เดือน หรือ 1 ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรเสมอ

34. เป็นเมียน้อย เมียเก็บ

กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
ลดกรรม ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ขั้นตอนการทำหน้ากากอนามัย

ขั้นตอนการทำหน้ากากอนามัย


1. นำผ้าที่เตรียมไว้มาพับครึ่งตามความยาวผ้าแล้วพับจับจีบทวิช 1 นิ้ว ตรงกลางผ้ากลัดด้วยหมุด หรือ เนาตรึงไว้ และ ทำอีกชิ้นเช่นเดียวกัน

2. นำผ้าที่พับไว้มาวาง โดยหันด้านนอกขึ้น และนำยางยืดมาวางที่มุมผ้าด้านกว้างข้างบน และข้างล่าง ด้านละ 1 เส้น กลัดเข็มหมุด หรือ เนาตรึงไว้

3. นำผ้าที่พับไว้อีกชั้นมาวางซ้อนกับผ้าชิ้นแรกที่ตรึงยางยืดไว้ โดยหันผ้าด้านนอกชนกัน แล้วเย็บจักร หรือ ด้นถอยหลังรอบผ้าสี่เหลี่ยม ให้ห่างจากริมผ้า ด้านละครึ่งเซนติเมตร โดยเว้นช่องว่างไว้กลับตะเข็บ ประมาณ 1 นิ้ว

4. ขลิบผ้าตรงมุมทั้ง 4 มุม ให้ใกล้กับรอยเย็บ เพื่อเวลากลับตะเข็บจะได้เรียบร้อยสวยงาม

5. สอยปิดช่องว่างที่เว้นไว้ให้เรียบร้อย


check out the rest of the Windows Live™. More than mail–Windows Live™ goes way beyond your inbox. More than messages

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แต่งร้านให้ได้ล้าน-ธุรกิจสวนกระแส

คมชัดลึก : จากการจัดแสดงนิทรรศการโมเดลต้นแบบร้านค้าในงานเบทเทอร์ช็อป เมืองทองธานีที่ผ่านมา มีผลงานออกแบบของนักศึกษาปี 2 ภาควิชาออกแบบตกแต่งภายใน คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นที่ตื่นเต้นของผู้พบเห็นในครั้งนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานที่จำลองความฝันออกมาอย่างเสมือนจริงมากที่สุด

ความฝันที่เด็กๆ เพียงแค่ปี 2 อายุ 18-19 ปี แต่สามารถออกแบบไม่แพ้มัณฑนากรมืออาชีพเลย อันเกิดจากโปรแกรมใหม่ในการเรียนที่มีจุดเริ่มต้นด้วยการตีโจทย์แบรนด์ สินค้าให้แตกฉานเสียก่อนแล้วคลี่ความคิดออกมาที่ละขั้นตอนอย่างลงตัว ถึงแม้บางชิ้นงานอาจจะยังมีความเป็นไปได้ในปัจจุบันยาก แต่อนาคตนวัตกรรมใหม่ๆ จะผลักดันให้เกิดความเป็นไปได้อย่างแน่นอน เป็นอีกกิจกรรมประจำต้นปีนี้ที่ภาครัฐ เอกชน และ “รายการอยู่สบาย” จัดงานเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักธุรกิจที่ต้องการสวนกระแสครับ
ปัจจุบัน มีหลายคนกำลังตัดสินใจที่จะลงทุนเปิดธุรกิจและตั้งใจอยากค้นหาพันธุ กรรมธุรกิจใหม่ๆ ในช่วงเศรษฐกิจขาลงขณะนี้ ความเป็นไปได้ขึ้นอยู่กับการค้นคว้าหาข้อมูล การหาแบบอย่างแนวทางใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดนอกกรอบของผู้นำธุรกิจ ที่จำเป็นต้องใช้ในช่วงวิกฤติมากๆ
ความเชื่อมั่นในแนววิชาการแบบเดิมๆ เริ่มถดถอยลงไปมากหลังจากธุรกิจยักษ์ใหญ่และการเงินของอเมริกา ยุโรปและญี่ปุ่น ต่างโดนผลกระทบอย่างหนัก ผันผวนทำให้เศรษฐกิจโลกแปรปรวนอย่างรุนแรง สะท้อนให้เห็นว่าโลกนี้ถึงเก่งแค่ไหนก็ไม่มีอะไร “ยั่งยืน” การปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่เกิดขึ้นจึงเป็นเสมือนภูมิ คุ้มกันที่ดีนั่นเอง
แม้กระทั่งแวดวงวิชาการที่ในอดีตเคยนำเคสกรณีศึกษา ของระบบธุรกิจเหล่านั้นที่สำเร็จมาใช้อ้างอิง แต่ปัจจุบันคงจะต้องกลับไปศึกษาความล้มเหลวธุรกิจและประเทศเหล่านั้นแทน ยิ่งเศรษฐกิจตก การออกแบบที่ดีก็ยิ่งมีความสำคัญมากเข้าไปอีก โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการความแตกต่าง แปลกใหม่เพื่อสวนกระแส ดังกรณีศึกษาจากแฟนๆ คอลัมน์ และรายการอยู่สบาย ดีไซน์นิวส์ทางเนชั่นแชนแนล ที่ส่งข้อมูลมาโดยผมสรุปเป็น 4 ข้อหลักดังนี้ครับ
1. เจ้าของโครงการที่ต้องการความแตกต่างพิเศษ
หลาย โครงการมีการระดมสมอง ค้นหาไอเดียสุดๆ โดยเฉพาะโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครคิดถึงมาก่อน เป็นโครงการที่นำหลักคิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ผสมผสานกับธรรมชาติและเทคโนโลยีอย่างมีระบบ นำเสนอพื้นที่และผังแบบใหม่แตกต่างจากประสบการณ์เดิม ความพิเศษมากๆ จะเกิดขึ้นแต่ไม่มีมากนัก มีเพียงกลุ่มแฟนรายการเฉพาะที่มีความเข้าใจจริงๆ
2. เจ้าของโครงการที่เน้นความดีที่สุดในจังหวัด
เกิด จากแฟนๆ รายการจากต่างจังหวัดที่มีกำลังซื้อช่วงวิกฤติจะเป็นช่วงที่พวกเขาเห็น โอกาส บางจังหวัดขาดโครงการดีๆ ที่มีการออกแบบที่ดี มีความแปลกใหม่ เช่น โรงแรมขนาดเล็กไม่เกิน 80 ห้อง, รีสอร์ทแนวคิดใหม่ในจังหวัดเล็กๆ ที่ไม่ใช่ภูเก็ต, เชียงใหม่ โครงการบ้านคุณภาพแต่ไม่เน้นโครงการใหญ่ เล็กกะทัดรัดแต่สวยงาม โดยเจ้าของโครงการเหล่านี้มองเห็นช่องทางคือ การสร้างทางเลือกที่ดีที่สุดของจังหวัด และหัวเมืองเล็กๆ ซึ่งยังมีให้เห็นน้อยมาก โดยการตลาดเป็นไปได้อย่างมากเพราะจำนวนไม่มาก แต่เน้นคุณภาพที่ดีที่สุดของจังหวัดนั้นๆ
3. เจ้าของโครงการที่พยายามคิดค้นไอเดียธุรกิจต้นแบบ
แฟนๆ รายการหลายรายนำไอเดียใหม่ๆ มาขอคำปรึกษาเยอะมาก บางไอเดียถ้าได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ต่อยอดความคิดอาจจะก่อให้เกิดการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างอัศจรรย์ได้ เช่น การพัฒนาร้านอาหารไทยในต่างแดนที่พลิกโฉมร้านอาหารทั่วไปโดยเพิ่มอาหารเพื่อ สุขภาพ การใช้หลัก หยิน หยาง มาสร้างเมนูอาหารใหม่ๆ
การนำกิจกรรมเสริม ผนวกรวมกับร้านอาหารไทย การออกแบบไทยฟาสต์ฟู้ดประเภทต่างๆ แข่งขันกับแบรนด์ต่างชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้สมศักดิ์ศรีประเทศผู้นำด้านเกษตรกรรม ธุรกิจเพื่อสุขภาพที่เน้นรักษาแบบปรัชญาตะวันออก โดยเสริมการตลาดแนวใหม่สากลเข้าไปผสมผสาน เป็นต้น
4. เจ้าของธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการเกษตร โดยส่งเสริมความคิดและปัญญาเข้าไปในระบบการผลิต
นำ เอาสิ่งที่เราถนัดบวกกับภาคเกษตรกรรมกับออกแบบ ผลิตสินค้าด้านอาหารที่มีคุณภาพให้แก่โลก คิดค้นวิจัยจากพื้นฐานพืชพรรณและเกษตรกรรม นำไอเดียสร้างสรรค์ทางศิลปะเข้ามามีส่วนให้เกิดการเพิ่มมูลค่าสินค้า ฝึกฝนและเวิร์กช็อปด้านการตลาด ใส่ปัญญาและความคิดเข้าไปมากๆ ก็จะสำเร็จ ภาครัฐควรเข้ามาช่วยส่งเสริมปรับปรุงกฎหมายที่ล้าหลังให้โอกาสนักลงทุนรุ่น ใหม่ๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ เอื้อประโยชน์และสนับสนุนกับนักลงทุนที่มีจรรยาบรรณโดยเท่าเทียม เช่น การปล่อยเงินกู้จากธนาคารที่ไม่ใช่เพียงแค่นโยบายหวานหอมจากผู้นำแต่ทำไม่ ได้ ติดอุปสรรคมากมาย ปลดล็อกระบบคร่ำครึทางธุรกิจ เช่น เครดิตบูโร ระบบราชการที่เชื่องช้า ระบบแรงงาน ฯลฯ
รัฐควรลงไปช่วยให้ถึงดินที่ สุดไม่ใช่อยู่บนหอคอยงาช้าง ในขณะที่เอกชน ประชาชนก็ไม่ควรเพียงแค่แบมือขอ (ทาน) โดยไม่ทำอะไรเลย ช่วงวิกฤติจะเกิดเป็นแรงกดดันบางอย่างให้มนุษย์ทำอะไรที่พิเศษๆ ต่อโลกอย่างแน่นอน อดทน และเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ



อ.เอกพงษ์ ตรีตรง

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การสมัคร Paypal.com

ไม่เข้าใจตรงใหนไปศึกษาเพื่อเติมที่เพพาวเลยนะะะะะะะะะะะะะ

1.เริ่มด้วยการคลิกสมัครเว็บไซต์ www.paypal.com

2.เลือก SignUp

3.เลือกประเทศ

4.เลือกประเภทเป็น Personal Account

5.เสร็จแล้วก็กด Continue เพื่อไปขั้นตอนที่เหลือ

6.กรอกข้อมูลส่วนตัว เสร็จแล้วคลิก Continue

7.เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จแล้ว ระบบก็จะส่งลิ้งค์เพื่อยืนยันเข้าอีเมล์เรา ก็ไปเช็คซะ แล้วค่อยกลับมาดำเนินการต่อ

8.เมื่อยืนยันแล้ว ระบบก็จะพาเข้ามาสู่หน้าหลักแสดงยอดเงินของเรา

9.คราวนี้เราก็ต้องเข้ามาเพิ่มบัญชีธนาคารเรากับ paypal.com โดยเข้าไปที่ My Account > Profile > Bank Account

10.เราก็กรอกรายละเอียด (ย้ำว่าละเอียดๆ) เพราะถ้ากรอกไม่ถูกแล้วส่งเงินไป จะถูกตีกลับเข้ามาในบัญชีและต้องเสียค่าโง่ 15 บาท

11.เนี่ย เค้าก็บอกไว้

12.พอเสร็จแล้ว ระบบก็จะแจ้งว่าเราได้ผูกบัญชีเข้ากับบริการนี้เข้าแล้วที่ประเทศไทย

สุดท้ายก็จัดไป



ในการจะซื้อของจากอีเบให้ซื้อจากคนขายที่มีดาวเยอะๆเพราะว่าไว้ใจได้
การลงทุนมีความเสี่ยง ควรไตร่ตรองเพราะตังหายากกกกกกกกกกกกกกกก

>>++วิธีเซ็นชื่อรับรองสำเนาบัตรประชาชน อย่างถูกต้อง++<<

~*~*~* จดหมายขอโทษ – จดหมายขอบคุณ *~*~*~

>>>>>ถึงคุณคนนั้น....(He is you)
>>>>>
>>>>>ขอโทษที่ไม่ได้อ่อนหวานเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ
>>>>>
>>>>>ขอโทษที่กระโดกกระเดก
>>>>>
>>>>>ขอโทษที่ใจร้อนเสมอ และต้องคอยให้เตือนเสมอ ( น่าเบื่อมาก.. >_<)
>>>>>
>>>>>ขอโทษที่ชอบร้องไห้เวลาดูหนังด้วยกัน
>>>>>
>>>>>ขอโทษที่ไม่น่ารักและน่าทะนุถนอม
>>>>>
>>>>>ขอโทษที่ไม่รู้จักโตสักที
>>>>>
>>>>>ขอโทษที่ขี้ใจน้อย
>>>>>
>>>>>ขอโทษที่ขี้งอน
>>>>>
>>>>>ขอโทษที่ชอบพูดตรง
>>>>>
>>>>>ขอโทษที่เคยทำร้ายจิตใจกัน
>>>>>
>>>>>ขอโทษที่จุ้นจ้านเรื่องส่วนตัว
>>>>>
>>>>>ขอโทษที่ขี้บ่นเหลือเกิน
>>>>>
>>>>>ขอโทษที่รักซะมากมาย
>>>>>........................................................
>>>>>
>>>>>ตอบกลับ.. จากคนที่รักคุณ...
>>>>>
>>>>>ขอบคุณครับที่ไม่อ่อนหวาน ผู้ชายอย่างผมจะได้แอบหวานกะเขาบ้าง
>>>>>
>>>>>ขอบคุณครับที่กระโดกกระเดก ผมจะได้มองออกว่าคุณเขิน
>>>>>
>>>>>ขอบคุณครับที่ใจร้อน ผมยินดีที่จะทำให้มันเย็น (
>>>>>ผมไม่เคยเบื่อเลย..^_^ )
>>>>>
>>>>>ขอบคุณครับที่ร้องไห้เวลาดูหนังด้วยกัน
>>>>>ผมจะได้มีโอกาสเช็ดน้ำตาของคุณบ้าง
>>>>>
>>>>>ขอบคุณครับที่ไม่น่ารักและน่าทะนุถนอม
>>>>>ขืนน่ารักกว่านี้ผมคงแย่งชิงกันคนอื่นอีกนานโข
>>>>>
>>>>>ขอบคุณครับที่ขี้ใจน้อย
>>>>>มันแสดงว่าผมก็มีความสำคัญพอให้โกรธบ้าง
>>>>>
>>>>>ขอบคุณครับที่ขี้งอน ผมจะได้ง้อไง แต่อย่านานนักล่ะ
>>>>>ผมทรมานใจนะครับ
>>>>>
>>>>>ขอบคุณครับที่พูดตรง ( T_T ) ฮือๆ
>>>>>ผมรู้แล้วว่าผมทำกับข้าวไม่อร่อย
>>>>>
>>>>>ขอบคุณครับที่ทำร้ายจิตใจกัน
>>>>>มันทำให้ผมได้รู้ถึงความเหนียวแน่นในความสัมพันธ์ของเราสองคน
>>>>>ว่ามันไม่ขาดกันง่ายๆ หรอก ( ผมไม่ยอม )
>>>>>
>>>>>ขอบคุณครับที่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของผม นั่นแน่..เป็นห่วงผมล่ะสิ
>>>>>
>>>>>ขอบคุณครับที่.เอ๊ย..ไม่เอาดีกว่าข้อนี้ขี้บ่น ไม่ดีๆ
>>>>>เหมือนยายแก่
>>>>>แต่ถ้าจะเป็นจริงๆ ขอผมเป็นตาแก่นะ..
>>>>>
>>>>>สุดท้ายขอบคุณครับที่เข้ามาในชีวิตผม..
>>>>>
>>>>>ขอบคุณที่ทำให้ผมพูดเลียนแบบหนังเรื่อง As good as it get
>>>>>“คุณทำให้ผมอยากเป็นผู้ชายที่ดีกว่านี้“
>>>>>
>>>>>ขอบคุณที่ทำให้ผมรู้ความหมายของคำว่า You complete Me.
>>>>>โดยไม่ต้องเปิด Dictionary
>>>>>
>>>>>ขอบคุณที่อยู่เพื่อให้ผมรัก

เทคนิคการต่อรองราคาสินค้าให้ได้ใจคนขาย

สำหรับพฤติกรรมการซื้อ สินค้าและต่อรองราคาสินค้าของแต่ละคนจะมีหลากหลายแตกต่างกันไป บางคนไม่ชอบต่อรองราคา เมื่อได้ยินราคาที่รู้สึกพอใจที่จะจ่ายก็ตัดสินใจจ่ายเงินไปเลย แต่กับบางคนขอให้ได้ต่อรองสักนิดก็ยังดี ถ้าได้ลดเยอะก็ยิ่งดีใหญ่

แล้ว เคยสังเกตุมั้ยว่าทำไมบางคนถึงได้รับการลดราคาเยอะ บางคนได้รับการลดราคาน้อย หรืออาจจะไม่ได้รับการลดราคาเลยจากคนขาย (ยกเว้นร้านค้าที่ฟิกซ์ราคาสินค้าไว้แล้วลดไม่ได้)

วันนี้เราเลยมีทริ คเล็ก ๆ ในการต่อรองราคาสินค้าจากคนขาย ให้ได้ใจคนขาย (โดยที่ไม่โดนด่าไล่หลัง อิอิ)และได้รับการลดราคา มาฝากกัน จากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน และเพื่อน ๆในวงการค้าขายค่ะ

สิ่งที่ไม่ควรพูดในการต่อรองราคาสินค้า คือ

1.เปรียบเทียบราคาสินค้ากับร้านอื่น ๆ (ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม) ข้อนี้คนขายโหวตให้เป็นอันดับ 1 ในสิ่งที่ลูกค้าไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากลูกค้าหลายคนมักเข้าใจผิดว่าการเปรียบเทียบราคาสินค้ากับร้านอื่น ให้คนขายฟังจะทำให้รู้สึกว่าสินค้าร้านตนขายแพงกว่าที่อื่นแล้วจะได้ลดราคา ให้ (หลายครั้งที่ลูกค้ามักจะเมคข้อมูลขึ้นมาซึ่งไม่เป็นความจริง อันนี้จับผิดได้บ่อย ๆ ก็นึกขำอยู่เหมือนกัน) ในความเป็นจริงแล้วพวกคนขายจะรู้สึกเหมือนโดนหยามนิด ๆ ประมาณว่า ถ้าเห็นว่าร้านอื่นดีกว่า หรือขายถูกกว่าแล้วจะมาซื้อร้านฉันทำไม เป็นต้น วิธีการนี้นอกจากจะไม่ได้รับการลดราคาจากคนขายแล้ว ยังอาจมีสิทธิ์โดนด่าไล่หลัง หรือชักสีหน้าได้ (แต่ส่วนใหญ่พวกคนขายเขาไม่ทำต่อหน้าลูกค้าหรอกนะคะ)

เพราะการที่ แต่ละร้านจะตั้งราคาสินค้าแต่ละตัวนั้นนอกจากจะดูต้นทุนบวกกำไรแล้ว เขายังสืบราคาจากตลาดทั่วไปด้วย (จริงๆแล้วต้นทุนสินค้าชนิดเดียวกันแต่รับ มาจากคนละที่ก็ไม่เท่ากัน ไม่ต้องถามให้เสียเวลาเลยว่าทำไมร้านนู้นขายถูกกว่าร้านนี้) คนขายจึงค่อน ข้างจะรู้ดีว่าที่ไหนขายเท่าไหร่อย่างไร สังเกตุว่าแต่ละร้านจะขายสินค้าในราคาที่ไม่แตกต่างกันมากนัก

2.ต่อรองราคาที่มากจนเกินไป ลูกค้า บางคนต่อรองซะจนคนขายเกือบขาดทุนกันเลยทีเดียว เพราะนึกเอาแต่จะได้อย่างเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วสินค้าแต่ละตัวนั้นการบวกลบกำไรไม่เท่ากัน บางตัวกำไรอาจจะถึง 50-100% เช่น สินค้าจำพวกเสื้อผ้า เป็นต้น แต่สินค้าบางตัวถูกจำกัดให้บวกกำไรเพิ่มจากต้นทุนได้เพียง 8-15% เท่านั้น ฉะนั้นหลายครั้งที่คนขายได้ยินลูกค้าต่อรองราคาที่มากจนเกินไป ถึงกับสะเทือนใจกันไปเลยทีเดียว บางครั้งการลดราคาของคนขายลูกค้าอาจจะมองว่าน้อยนิด แต่มันอาจจะมีผลต่อการอยู่รอดของกิจการเขาเลยได้ทีเดียว แล้วลูกค้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสินค้าประเภทไหน ควรต่อรองราคาที่เท่าไหร่จึงจะเหมาะสม ผู้เขียนจึงวิเคราะห์ได้คร่าว ๆ ดังนี้

- สินค้าที่มีราคาไม่เกิน 500 บาท ลดราคาได้ไม่เกิน 50 บาท

- สินค้าที่มีราคาตั้งแต่ 500 บาทแต่ไม่เกิน 1000 บาท ลดราคาได้ไม่เกิน 100 บาท

- สินค้าที่มีราคาตั้งแต่ 1000 บาทแต่ไม่เกิน 10000 บาท ลดราคาได้ไม่เกิน 100 - 200 บาท

*** ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับพาวเวอร์ของคนขายสินค้านั้น ๆ ด้วย

3.ต่อรองราคาให้ลดเยอะ ๆ แต่เมื่อคนขายตกลงแล้วไม่ซื้อ (โดย ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) จริง ๆ ข้อนี้มันเป็นมารยาทที่ลูกค้าส่วนใหญ่รู้กันอยู่แล้ว แต่กับบางคนคิดว่าต่อไว้ก่อน ให้รู้ว่าลดสุด ๆ ได้เท่าไหร่ค่อยมาซื้อวันหลัง เป็นความคิดที่ผิดมาก ๆ เพราะเมื่อพร้อมที่จะมาซื้อแล้ว คนขายอาจจะไม่ลดให้เลยก็ได้ เนื่องจากไม่พอใจและรู้สึกว่าเสียมารยาทมาก ๆ (และลูกค้าประเภทนี้คนขายมักจะจำหน้าได้ซะด้วยสิ)

นี่ก็เป็นทริคเล็ก ๆ ที่ผู้เขียนนำมาฝาก ใครมีอะไรเพิ่มเติมก็บอกกันได้เลยนะคะ และหวังว่าเพื่อน ๆ จะได้ประโยชน์จากบทความของเราบ้างไม่มากก็น้อย ขอให้มีความสุขสนุกกับการเลือกซื้อและการต่อรองราคาสินค้ากันนะคะ

คำย่อแผนกต่าง ๆ ของโรงพยาบาลที่เรียกกันทั่วไป

* ER ย่อมาจาก EMERGENCY ROOM ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
* OR ย่อมากจาก OPERATING ROOM ห้องผ่าตัด
* LR ย่อมาจาก LABOR ROOM ห้องคลอด
* OPD ย่อมาจาก OUTPATIENT DEPARTMENT แผนกผู้ป่วยนอก
* MED ย่อมาก MEDICINE อายุรกรรม(การรักษาด้วยยา)
* SUR ย่อมากจาก SURGICAL ศัลยกรรม(การรักษาด้วยการผ่าตัด)
* ORTHO ย่อมาจาก ORTHOPEDIC ศํลยกรรมกระดูก(การรักษาโรคกระดูกด้วยยาหรือการผ่าตัด)
* OB-GYN ย่อมาจาก OBSTRETIC GYNECOLOGY สูติ-นรีเวชกรรม(การรักษาโดยเฉพาะสตรีและการตั้งครรภ์)
* ANC ย่อมาจาก Ante natal care การดูแลก่อนคลอด
* IPD ย่อมาจาก INPATIENT DEPARTMENT แผนกรักษาผู้ป่วยใน
* ENT ย่อมากจาก Ear Nose Throat แผนกที่รักษาเกี่ยวกับโรค หู คอ จมูก
* ICU ย่อมาจาก Intensive Care Unit หออภิบาลผู้ป่วยหนักรวม
* CCU ย่อมากจาก Coronary Care Unit หออภิบาลผู้ป่วยหนักเฉพาะโรคหัวใจ

คำย่อที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคที่ใช้กันทั่ว ๆ ไป

* Fx ย่อมาจาก Fracture กระดูกหัก
* Dx ย่อมาจาก Diagnosis การวินิจฉัยโรค
* DHF ย่อมาจาก Dangue Hemorrahic Fever ไข้เลือดออกจากเชื้อ dangue (เป็นไวรัสชนิดหนึ่ง)
* URI ย่อมาจาก Upper Respiratory Infection การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน
* UTI ย่อมาจาก Urinary Tract Infection การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
* DC ย่อมาจาก Dental Caries โรคฟันผุ
* CDA ย่อมาจาก Chronic Dento Alveolar abscess เป็นฝีที่เหงือกเรื้อรัง (โรครำมะนาด)

คำย่อที่ใช้ในการรักษาโรคที่ใช้กันทั่วไป

* I&D ย่อมาจาก Incision and Drainage การผ่าเข้าไปและกรีดเอาหนองหรือสิ่งแปลกปลอมออกจากแผล
* Explore lap. ย่อมาจาก Exploratory Laparotomy การผ่าเข้าไปในช่องท้องเพื่อผ่าตัดอวัยวะภายในช่องท้อง
* TAH ย่อมาจาก Total Abdominal Hysterectomy การผ่าตัดมดลูกออกทั้งหมด
* SO ย่อมาจาก Salphingo-oophorectomy การผ่าตัดรังไข่และปีกมดลูก
* RM ย่อมาจาก Repeat Medication การให้ยาที่รักษาเหมือนเดิมกับครั้งที่แล้ว ๆ มา
* CPR ย่อมาจาก Cardiopulmonary resuscitation การนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ (การปั๊มหัวใจ)
* RR ย่อมาจาก Retain Root การรักษารากฟัน

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง 2552

สภาวะเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรก

ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2552 ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อการส่งออก-การนำเข้า เฉพาะในช่วง 5 เดือนแรก มกราคม ถึง พฤษภาคม 2552 การส่งออกถดถอยถึง -26% (หากหักการส่งออกทองคำ -22.9%) และการนำเข้าถดถอย -36.70% ซึ่งถือเป็นการติดลบสูงสุดในรอบหลายสิบปีของไทย ส่งผลต่อเงินเกินดุลมีถึง 10,054.70 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เงินสำรอง Reserve ของไทยสูงถึง 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้แนวโน้มค่าเงินบาทของไทยมีการแข็งค่าโดยเฉพาะในช่วงเดือนมิถุนายน เปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม 2552 เงินบาทมีการแข็งค่าประมาณร้อยละ 3.13 โดย ภาพรวมแล้วเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2551 ซึ่งติดลบ-4.3% ต่อเนื่องจนถึงไตรมาสแรกของปีนี้ เศรษฐกิจไทย -7.1% และคาดว่าไตรมาสที่ 2 จะติดลบประมาณ -5.5% ทำให้ครึ่งแรกของปีนี้ ตัวเลขของไทยเศรษฐกิจจะติดลบถึงร้อยละ -6.1 ถึงร้อยละ -6.3 ทำให้ดัชนีกำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) เดือนเมษายน–พฤษภาคม เหลือเพียงระดับเพียง 55-56 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ MPI เฉลี่ยปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 64.3

อนึ่งฯ ในช่วงครึ่งปีแรกตัวเลขการว่างงานของไทยไม่สูงอย่างที่ประมาณการ โดยมีตัวเลขการว่างงานในช่วงเดือนเมษายน 780,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 2.2 อัน เป็นผลมาจากภาคเกษตรและการใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งยังสามารถอุ้มแรงงานได้ส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขแรงงานเหล่านี้ เป็นตัวเลขที่เก็บจากสำนักงานประกันสังคม ซึ่งยังไม่รวมนักเรียน นักศึกษาจบใหม่ที่ออกมาและเข้าสู่ระบบแรงงานในช่วงต้นปี



โดย ดร.ธนิต โสรัตน์

รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

29 มิถุนายน 2552

สรุปการซื้อ-ขาย นักเตะพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2009/2010 สิ้นสุด ณ วันที่ 9 กรกฎาคม 2552

สรุปการซื้อ-ขาย นักเตะพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2009/2010 สิ้นสุด ณ วันที่ 9 กรกฎาคม 2552

***** (New Update)

อาร์เซน่อล
ย้ายเข้า: โธมัส แฟร์มาเล่น (อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม, 10 ล้านปอนด์)
ย้ายออก: อาบู โอโกโก้ (ดาเกนแฮม แอนด์ เร้ดบริดจ์, ฟรี)
วินเซนต์ ฟาน เดน เบิร์ก (เอ็กเซลซิเออร์ มาสลุยส์, ฟรี)
อเมารี บิสชอฟฟ์ (ปล่อยตัว)
แอนทอน แบล็ควู้ด (ปล่อยตัว)
เจมส์ ดันน์ (ปล่อยตัว)
รุย ฟอนเต้ (ปล่อยตัว)
พอล ร็อดเจอร์ส (ปล่อยตัว)
เรเน่ สเตียร์ (ปล่อยตัว)

แอสตัน วิลล่า
ย้ายเข้า: คอร์ทนี่ย์ คาเมร่อน (นอร์ธแฮมป์ตัน, ไม่เปิดเผยค่าตัว)
ย้ายออก: แกเร็ธ แบร์รี่ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้, 12 ล้านปอนด์)
สจ๊วร์ต เทย์เลอร์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ฟรี)
มาร์ติน เลาร์เซ่น (แขวนสตั๊ด)
โรเบิร์ต เอลวินส์ (ปล่อยตัว)


เบอร์มิงแฮม ซิตี้
ย้ายเข้า: คริสเตียน เบนิเตซ (ซานโตส ลากูน่า, 9 ล้านปอนด์)
โรเจอร์ จอห์นสัน (คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้, 5 ล้านปอนด์)
สกอตต์ แดนน์ (โคเวนทรี ซิตี้, 3.5 ล้านปอนด์)
โจวานนี่ เอสปิโนซ่า (บาร์เซโลน่า สปอร์ติ้ง คลับ, 385,000 ปอนด์)
โจ ฮาร์ท (แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ยืมตัว)
ลี โบวเยอร์ (เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, ฟรี)
ย้ายออก: สตีเฟ่น เคลลี่ (ฟูแล่ม, ฟรี)
เมห์ดี้ นาฟติ (อาริส ซาโลนิก้า, ฟรี)
โรบิน ชรูท (เบอร์ตัน อัลเบี้ยน, ยืมตัว)
ราดี้ จาอิดี้ (ปล่อยตัว)
อาร์ทูร์ ครายเซี๊ยค (ปล่อยตัว)

แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส
ย้ายเข้า: กาแอล ชิเว่ต์ (โอลิมปิก มาร์กเซย, 3.5 ล้านปอนด์)
สตีเว่น เอ็นซองซี่ (อาเมียงส์, 400,000 ปอนด์)
นิคอส จานนาโคปูลอส (อัสเตราส ทริโปลิส, 52,000 ปอนด์)
ลาร์ส ยาค็อปเซ่น (เอฟเวอร์ตัน, ฟรี)
เอลริโอ วาน เฮียร์เด้น (คลับ บรูช, ฟรี)
ย้ายออก: โรเก้ ซานตา ครูซ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้, 18 ล้านปอนด์)
แมตต์ ดาร์บี้เชียร์ (โอลิมเปียกอส, 3 ล้านปอนด์)
อันเดรียส อาเรสติดู (ชรูวส์บิวรี่, ฟรี)
ไบรอัน ฮ็อดจ์ (พาทริค ทิสเติ้ล, ฟรี)
โทนี่ เคน (คาร์ไลส์, ฟรี)
อังเดร ออยเยอร์ (พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น, ฟรี)
อารอน โมโคเอน่า (พอร์ทสมัธ, ฟรี)
ดีน วินนาร์ด (แอ็คคริงตัน สแตนลี่ย์, ฟรี)
ยอช โอคีเฟ (ปล่อยตัว)
ตูกาย เคริโมกลู (แขวนสตั๊ด)

โบลตัน วันเดอเรอร์ส
ย้ายเข้า: ฌอน เดวิส (พอร์ทสมัธ, ฟรี)
ย้ายออก: เบลริม เซเมลี่ (โตริโน่, 1.6 ล้านปอนด์)
เจมส์ ซินแคลร์ (ปล่อยตัว)
โรเบิร์ต ซิสสันส์ (ปล่อยตัว)
นาธาน วูลฟ์ (ปล่อยตัว)

เบิร์นลี่ย์
ย้ายเข้า: สตีเว่น เฟล็ทเชอร์ (ฮิเบอร์เนี่ยน, 3 ล้านปอนด์)
ไทรอน เมียร์ส (ดาร์บี้ เคาน์ตี้, 500,000 ปอนด์)
ดาวิด เอ็ดการ์ (นิวคาสเซิ่ล)
ย้ายออก: กาบอร์ คิราลี่ย์ (1860 มิวนิค, ฟรี)
สตีฟ โจนส์ (ปล่อยตัว)
อลัน มาฮอน (ปล่อยตัว)
อเล็กซ์ แม็คโดนัลด์ (ปล่อยตัว)

เชลซี
ย้ายเข้า: ยูริ ซีร์คอฟ (ซีเอสเคเอ มอสโก, 18 ล้านปอนด์)
ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)
รอส เทิร์นบูลล์ (มิดเดิ้ลสโบรช์, ฟรี)
ย้ายออก: เบน ซาฮาร์ (เอสปันญ่อล, 800,000 ปอนด์)
สโลโบดาน ราจโควิช (เอฟซี ทเวนเต้, ยืมตัว)
มิเนโร่ (ปล่อยตัว)

เอฟเวอร์ตัน
ย้ายเข้า: แอนตัน เพเตอร์ลิน (เวนตูร่า เคาน์ตี้ ฟิวชั่น, ไม่เปิดเผยค่าตัว)
ลุค การ์บัตต์ (ลีดส์ ยูไนเต็ด)
ชโคดราน มุสตาฟี (ฮัมบูร์ก, ฟรี)
โช (แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ยืมตัว)
ย้ายออก: ลาร์ส ยาค็อปเซ่น (แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส, ฟรี)
จอห์น เออร์วิ่ง (ปล่อยตัว)
ยูนาน โอเคน (ปล่อยตัว)
คอรี่ย์ ซินนอตต์ (ปล่อยตัว)
จอห์น พอล คิซซ็อค (ปล่อยตัว)
แอนดี้ ฟาน เดอ เมย์เด้ (ปล่อยตัว)
สกอตต์ สเปนเซอร์ (ปล่อยตัว)
นูโน่ วาเลนเต้ (แขวนสตั๊ด)

ฟูแล่ม
ย้ายเข้า: สตีเฟ่น เคลลี่ (เบอร์มิงแฮม ซิตี้, ฟรี)
ย้ายออก: ลีออน อันเดรียเซ่น (ฮันโนเวอร์ 96, ฟรี)
คาริม ลาริบิ (ปล่อยตัว)
คอลลินส์ จอห์น (ปล่อยตัว)
โมริตซ์ โฟลซ์ (ปล่อยตัว)
ฮัลล์ ซิตี้
ย้ายเข้า: สตีเว่น มูโยโคโล่ (บูโลญจน์, 2 ล้านยูโร)
ย้ายออก: เวย์น บราวน์ (เลสเตอร์ ซิตี้, ไม่เปิดเผยค่าตัว)
เจมส์ เบนเนตต์ (ดาร์ลิงตัน, ฟรี)
แม็ตต์ พลัมเมอร์ (ดาร์ลิงตัน)
ดีน วินดาสส์ (ดาร์ลิงตัน, ฟรี)
ไมเคิ่ล บริดจ์ส (ปล่อยตัว)
ไรอัน ฟรานซ์ (ปล่อยตัว)
โจ แลมป์เล้าช์ (ปล่อยตัว)
จอห์น เวลช์ (ปล่อยตัว)
ทอม วู้ดเฮด (ปล่อยตัว)

ลิเวอร์พูล
ย้ายเข้า: เกล็น จอห์นสัน (พอร์ทสมัธ, 17.5 ล้านปอนด์)
อารอน คิง (รัชเดน แอนด์ ไดมอนด์ส, ไม่เปิดเผยค่าตัว)
ย้ายออก: เซบาสเตียน เลโต้ (พานาธิไนกอส, 3.5 ล้านปอนด์)
แจ็ค ฮ็อบบ์ส (เลสเตอร์ ซิตี้, 400,000 ปอนด์)
พอล อันเดอร์สัน (น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, 250,000 ปอนด์)
แอสตริต อัจดาเรวิช (เลสเตอร์ ซิตี้, ฟรี)
ซามี่ ฮูเปีย (ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น, ฟรี)
เจอร์เมน เพนแนนท์ (ปล่อยตัว)

แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ย้ายเข้า: โรเก้ ซานตา ครูซ (แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส, 18 ล้านปอนด์)
แกเร็ธ แบร์รี่ (แอสตัน วิลล่า, 12 ล้านปอนด์)
นิลส์ แซนเดอร์ (ชาลเก้ 04, ไม่เปิดเผยค่าตัว)
สจ๊วร์ต เทย์เลอร์ (แอสตัน วิลล่า, ฟรี)
ย้ายออก: ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ (เชลซี)
ดาริอุส วาซเซลล์ (อันคารากูคู, ฟรี)
โจ ฮาร์ท (เบอร์มิงแฮม ซิตี้, ยืมตัว)
ดีทมาร์ ฮามันน์ (ปล่อยตัว)
ริชาร์ด มาร์ติน (ปล่อยตัว)
แดนนี่ มิลล์ส (ปล่อยตัว)
เบน มอร์ริส (ปล่อยตัว)
เคอร์ติส โอเบ็ง (ปล่อยตัว)
คริส แรมซี่ย์ (ปล่อยตัว)

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ย้ายเข้า: หลุยส์ อันโตนิโอ วาเลนเซีย (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, 18 ล้านปอนด์)
กาเบรียล โอแบร์กต็อง (บอร์กโดซ์, 3 ล้านปอนด์)
ไมเคิ่ล โอเว่น (นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด, ฟรี)
ย้ายออก: คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (เรอัล มาดริด, 80 ล้านปอนด์)
ลี มาร์ติน (อิปสวิช ทาวน์, 2 ล้านปอนด์)
โรดริโก้ พอสเซบอน (สปอร์ติ้ง บราก้า, ยืมตัว)
ดาเนี่ยล กัลเบรทช์ (ฮิเบอร์เนี่ยน, ฟรี)

พอร์ทสมัธ
ย้ายเข้า: อารอน โมโคเอน่า (แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส, ฟรี)
ย้ายออก: เกล็น จอห์นสัน (ลิเวอร์พูล, 17.5 ล้านปอนด์)
อังเดร แบล็คแมน (บริสตอล ซิตี้, ฟรี)
ฌอน เดวิส (โบลตัน วันเดอเรอร์ส, ฟรี)
ฌิมี่ ตราโอเร่ (โมนาโก, ฟรี)
โจ คอลลินส์ (ปล่อยตัว)
โลแรน เอตาเม่ (ปล่อยตัว)
เกล็น ลิตเติ้ล (ปล่อยตัว)
โนเอ้ ปามาโร่ต์ (ปล่อยตัว)
เจโรม โธมัส (ปล่อยตัว)

สโต๊ค ซิตี้
ย้ายเข้า: -
ย้ายออก: มาร์ค โกรค็อตต์ (ปล่อยตัว)
วินเซนต์ เปริคาร์ด (ปล่อยตัว)
จิมมี่ ฟิลลิปส์ (ปล่อยตัว)
ทอม ทอร์ลี่ย์ (ปล่อยตัว)

ซันเดอร์แลนด์
ย้ายเข้า: แม็ทธิว ลุนด์ (ครูว์)
เบน มาร์แชลล์ (ครูว์)
ย้ายออก: ไมเคิ่ล โชปรา (คาร์ดิฟฟ์, 4 ล้านปอนด์)
เกร็ก ฮัลฟอร์ด (วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส, 2 ล้านปอนด์)
ปีเตอร์ ฮาร์ทลี่ย์ (ฮาร์ทลี่พูล, ฟรี)
นิค โคลแกน (ปล่อยตัว)
เดวิด คอนเนลลี่ (ปล่อยตัว)
ไนออล แม็คอาร์ดเล่ (ปล่อยตัว)
อาร์นู ริเอร่า (ปล่อยตัว)
ดไวท์ ยอร์ค (ปล่อยตัว)
ดาร์เรน วอร์ด (ปล่อยตัว)

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
ย้ายเข้า: -
ย้ายออก: ดิดิเย่ร์ โซโกร่า (เซบีย่า, 7.75 ล้านปอนด์)
เดวิด ฮัตตัน (เชลเท่นแฮม, ฟรี)
แดนนี่ ฮัทชินส์ (โยวิล, ฟรี)
ไซม่อน ดอว์กิ้นส์ (ปล่อยตัว)
ไคล์ เฟรเซอร์-อัลเลน (ปล่อยตัว)
ไซแอน ฮิวจ์ตัน (ปล่อยตัว)
ฌัคส์ มาโกม่า (ปล่อยตัว)
ทากูร่า เอ็มทันดารี่ (ปล่อยตัว)
ริคาร์โด้ โรช่า (ปล่อยตัว)

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
ย้ายเข้า: เฮริต้า อีลุงก้า (ตูลูส, 2.75 ล้านปอนด์)
ปีเตอร์ คูรัซ (อุจเพสต์, ไม่เปิดเผยค่าตัว)
หลุยส์ ฆิมิเนซ (เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, ยืมตัว)
ย้ายออก: ลี โบวเยอร์ (เบอร์มิงแฮม ซิตี้, ฟรี)
คายเอล รีด (เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, ฟรี)
โจ วิดดอว์สัน (กริมสบี้ ทาวน์, ฟรี)
เฟร็ดดี้ เซียร์ส (คริสตัล พาเลซ, ยืมตัว)
วอลเตอร์ โลเปซ (ปล่อยตัว)
ลูคัส นีลล์ (ปล่อยตัว)
โทนี่ สโต๊คส์ (ปล่อยตัว)
จิมมี่ วอล์คเกอร์ (ปล่อยตัว)

วีแกน แอธเลติก
ย้ายเข้า: ฆอร์ดี้ โกเมซ (เอสปันญ่อล, 1.7 ล้านปอนด์)
เฮนดรี้ โธมัส (เดปอร์ติโบ โอลิมเปีย, ไม่เปิดเผยค่าตัว)
ย้ายออก: หลุยส์ อันโตนิโอ วาเลนเซีย (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, 16 ล้านปอนด์)
ลูอิส มอนโทรส (วีคอมบ์, ฟรี)
อองรี กามาร่า (ปล่อยตัว)
ลูอิส ฟีลด์ (ปล่อยตัว)
แมตต์ แฮมป์สัน (ปล่อยตัว)
เคร็ก มาฮอน (ปล่อยตัว)
แอนดรูว์ เพียร์สัน (ปล่อยตัว)
อองตวน ซิเบียร์สกี้ (ปล่อยตัว)

วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส
ย้ายเข้า: เควิน ดอยล์ (เร้ดดิ้ง, 6.5 ล้านปอนด์)
เนนาด มิลิยาส (เร้ด สตาร์ เบลเกรด, 2.5 ล้านปอนด์)
โรนัลด์ ซูแบร์ (โอลิมปิก มาร์กเซย์, 2.5 ล้านปอนด์)
เกร็ก ฮัลฟอร์ด (ซันเดอร์แลนด์, 2 ล้านปอนด์)
แอนดรูว์ เซอร์แมน (เซาธ์แฮมป์ตัน, 1 ล้านปอนด์)
มาร์คุส ฮาห์นีมันน์ (เร้ดดิ้ง, ฟรี)
ย้ายออก: สตีเฟ่น กลีสัน (มิลตัน คีย์เนส ดอนส์, ไม่เปิดเผยค่าตัว)
แมตต์ เบลี่ย์ (ปล่อยตัว)
ลูอิส โกเบิร์น (ปล่อยตัว)
อเล็กซ์ เมลเบิร์น (ปล่อยตัว)

สะอึก....เรื่องเล็กที่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่

สะอึก…เป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างความรำคาญใจให้ใครหลายคน หากสะอึกแค่เดี๋ยวเดียว อาจไม่เป็นปัญหากวนใจนัก

แต่หากใครสะอึกติดต่อกันเป็นวัน หรือ หลายๆ วัน แม้หาสารพัดวิธีช่วยให้หายสะอึก ทั้งกลั้นหายใจ ดื่มน้ำ กลืนน้ำตาล ทำอย่างไรก็ไม่เป็นผล นั่นอาจไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะอาการเช่นนี้อาจเป็นเพราะโรคได้! นพ.นรินทร์ อจละนันท์ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีช่วยไขข้อข้องใจให้หายสงสัยเกี่ยวกับการสะอึกว่า อาการสะอึกเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกะบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างช่อง ปอดและช่องท้องที่เกิดขึ้นเองได้โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเกิดจากมีสิ่งมากระตุ้นเส้น ประสาท 2 ตัว คือ Vagus nerve และ Phrenic nerve ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระบบประสาทต่อกับระบบทางเดินอาหารส่วนต้น โดยเสียงสะอึกที่เกิดขึ้นมาจากการหายใจออกขณะที่กะบังลมเกิดการกระตุกทันที ทันใด ทำให้เกิดเสียงดังของการสะอึกขึ้น

สำหรับลักษณะอาการแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ

1.อาการสะอึกช่วงสั้นๆ อาจเพียง 2-3 นาที
2.การสะอึกหลายๆ วันติดกัน
3.สะอึกติดๆ กันหลายสัปดาห์ และ
4.การสะอึกตลอดเวลา โดยที่การสะอึกกลุ่มแรกเป็นการสะอึกช่วงสั้นๆ ที่ไม่มีอันตรายใดๆ

แต่การสะอึกติดต่อกันหลายๆ วัน เป็นอาการที่ไม่ธรรมดา เนื่องจากมีสาเหตุมาจากโรคอื่นๆ เช่นความผิดปกติทางสมองการเป็นอัมพาตการเป็นโรคทางเดินอาหาร

การอักเสบในช่องท้องบริเวณกะบังลม โรคหลอดเลือดสมองตีบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบพิษสุราเรื้อรัง รวมถึงอาการทางภาวะจิตใจ และผลกระทบจากการใช้ยาบางชนิด"ส่วนมากผู้ป่วยที่มาหาหมอด้วยการสะอึกเป็น ระยะเวลานานติดต่อกัน เนื่องมาจากมีอาการผิดปกติทางสอง หรือเป็นอัมพาต ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถให้ยาที่ช่วยบรรเทาอาการสะอึกได้ แต่ก็อาจมีการสะอึกเกิดขึ้นมาอีก เพราะอาการสะอึกเป็นเพราะต่อเนื่องที่เกิดจากการเจ็บป่วย"

นพ.นรินทร์อธิบายส่วนวิธีการรักษาบรรเทาอาการสะอึกนั้น

นพ.นรินทร์บอกว่า หากเป็นการสะอึกธรรมดาๆ สามารถใชวิธีการกลั้นหายใจ การกลืนน้ำตาล กระตุ้นบริเวณหลังคอ แต่หากสะอึกติดต่อกันควรที่จะพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการสะอึกว่าเกิดมา จากอาการของโรคใด โดยอาการสะอึกไม่ถือว่าเป็นโรคแต่เป็นผลมาจากการเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดิน อาหาร ดังนั้นหากสามารถทราบสาเหตุของโรคให้ยาตามอาการก็สามารถที่ช่วยให้อาการ สะอึกดีขึ้น

10 เทคนิคหยุดสะอึก

1.กระตุ้นผิวด้านหลังของลำคอ แถวๆ บริเวณที่เปิดปิดหลอดลม โดยการดึงลิ้นแรงๆ
2.ใช้ด้ามช้อนเขี่ยที่ปิดเปิดหลอดลม
3.กลั้วน้ำในลำคอ
4.จิบน้ำเย็นจัด
5. กลืนน้ำตาลทราย 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยไม่ต้องใช้น้ำ หรือ กลืนก้อนข้าว ก้อนขนมปัง ก้อนน้ำแข็งเล็กๆ
6.ดื่มน้ำจากขอบแก้วที่อยู่ด้านนอกหรือด้านไกลจากริมฝีปาก
7.จิบน้ำส้มสายชูที่เปรี้ยวจัด หรือดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย
8.การฝังเข็ม
9. การสวดมนต์ทำสมาธิ
10. กลั้นหายใจเอาไว้โดยการนับ 1 – 10 แล้วหายใจออก จากนั้นดื่มน้ำตามทันที

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Join Sorayo โสรโย's network on Windows Live

Join Sorayo โสรโย's network on Windows Live
 
View invitation
View profile
Accept this invitation and you'll appear on each other's online profiles and can chat using Windows Live Messenger.
Change who can send you invitations and requests
Microsoft respects your privacy. To learn more, read our privacy statement. Microsoft Corporation, One Microsoft Way, Redmond, WA 98052 Windows Live

รูปในหลวง แบ่งปันให้คนอื่นด้วย




See all the ways you can stay connected to friends and family

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิธีทำให้หน้าเนียนใส ขาวอมชมพู

ผิวสาวถ้าจะให้ดูมีชีวิตชีวา ต้องขาวแบบมีเลือดฝาดไม่ใช่ขาวซีดเหมือนกระดาษ

ยิ่งหน้าหนาวผิวสาวโดนลมหนาวพัดผ่านละเลียดผิว... ถ้าสาว ๆ คนไหนมีผิวแก้มเนียนชมพูใสมีเลือดฝาดระเรื่อ ก็ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะแลดูเป็นสาวน่ารักเปล่งปลั่งและสุขภาพดี

มีเคล็ดลับดี ๆ มาฝาก ให้คุณสาว ๆ ได้เป็นเจ้าของผิวหน้าสวยใสอมชมพูค่ะ

สดใสมีเลือดฝาดด้วยเบียร์สด...

ให้คุณสาว ๆ นำเบียร์สด 1/2 ถ้วยเล็ก น้ำผึ้งแท้ 2 ช้อนโต๊ะ และไข่ไก่ 1 ฟอง

นำส่วนผสมทั้งหมดมาปั่นให้เป็นเนื้อครีมละเอียดเนียน แล้วนำเนื้อครีมเบียร์สดนี้มาพอกหน้าที่สะอาด พอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดหรือใช้โฟมล้างหรือสบู่อ่อน ๆ ก็ได้ค่ะ

สูตรนี้จะช่วยให้ผิวหน้าเต่งตึง แลดูสดใสเปล่งปลั่ง มีเลือดฝาดขึ้นค่ะ

...............................................................................

ชุ่มชื้นนุ่มนวลด้วยนมสดแอปเปิ้ล...

แอปเปิ้ลนอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยหวานกรอบแล้วนั้น ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยมอบความชุ่มชื่นสู่ผิว ทำให้ผิวแลดูสดใสขึ้น เหมาะกับผิวหน้าที่กร้านแดดกร้านลม ด้วยการล้างแอปเปิ้ลให้สะอาด ปอกเปลือกแอปเปิ้ลออก แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอประมาณ

แล้วนำไปปั่นในเครื่องปั่นพร้อมผสมนมสดแช่เย็นลงไปเล็กน้อย ปั่นส่วนผสมทั้งหมดจนเข้ากัน แล้วนำส่วนผสมนี้มาพอกหน้าแล้วนวดคลึงเพียงเบา ๆ ประมาณ 20 นาที

หลังจากนั้นจึงใช้นมสดเย็น ๆ ล้างผิวหน้า ตามด้วยการล้างหน้าตามปกติค่ะ

...................................................................................

ลดเลือนริ้วรอยด้วยสตรอเบอรี่น้ำผึ้ง...

ผลไม้รูปร่างหน้าตาน่ารัก มีขนาดเล็กสีแดงสด นอกจากรสชาติอมเปรี้ยวอมหวานถูกปากใครหลาย ๆ คน และหารับประทานได้เฉพาะในช่วงฤดูหนาวอย่างนี้ ยังมีคุณสมบัติช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนผิวหน้าได้ อีกทั้งยังช่วยให้ผิวหน้าสดใสมีชีวิตชีวา

เพียงแค่คุณนำสตรอเบอรี่สุก 2-3 ผล นำมาเด็ดขั้วออกแล้วนำไปล้างให้สะอาด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมทั้ง 2 อย่างนี้มาเข้าเครื่องปั่น ปั่นแค่ให้ละเอียดพอหยาบ ๆ

นำมาพอกหน้าที่สะอาดทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงทำความสะอาดผิวหน้า



ป.ล. อ่านแล้วเม้นด้วยน้าาาา
คัยเม้นขอให้หน้าใส ขาวอมชมพู
คัยไม่เม้น หน้าสิว + ขึ้นคาน
อิอิ

หลวงพ่อปากแดง ให้โชค ถูกหวย รวยเละ



คอลัมน์ ไหว้พระ 76 จังหวัด

"นครนายก" เดิมมีชื่อว่า "บ้านนา" เล่ากันว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา ดินแดนของนครนายกเป็นป่ารกชัฏเป็นที่ดอน ทำนาหรือเพาะปลูกอะไร ไม่ค่อยได้ผลและมีไข้ป่าชุกชุม ผู้คนจึงอพยพไปอยู่ที่อื่นจนที่นี่กลายเป็นเมืองร้าง

ต่อมา พระมหากษัตริย์ทรงทราบความเดือดร้อนของชาวเมืองจึงโปรดเกล้าฯ ให้เลิกภาษีนาเพื่อจูงใจชาวเมืองให้อยู่ที่เดิมทำให้มีผู้คนอพยพมาอยู่เพิ่ม มากขึ้น จนเป็นชุมชนใหญ่และเรียกเมืองนี้กันติดปากว่า "เมืองนายก"

นครนายก เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลาง อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 107 กิโลเมตร ตามถนนเลียบคลองรังสิต สันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดี มีหลักฐานแนวกำแพงเนินดินและสันคู อยู่ที่ตำบลดงละคร แต่ชื่อนครนายกนั้น

ปรากฏ หลักฐาน ในสมัยอยุธยาเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศตะวันออก สมัยพระเจ้าอู่ทอง ในปี พ.ศ.2437 รัชกาลที่ 5 ทรงจัดลักษณะการปกครองโดยแบ่งเป็นมณฑล นครนายกได้เข้าไปอยู่ในเขตมณฑลปราจีนบุรี จนเมื่อพ.ศ.2445 ทรงเลิกธรรมเนียมการมีเจ้าครองเมือง ให้มีตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดแทน

วัดพราหมณี ถือเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งใน จ.นครนายก ตั้งอยู่ที่ถนนสาริกา-นางรอง หลักกิโลเมตรที่ 4 ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก

วัด แห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ.2446 ปัจจุบันนี้มีอายุ 100 กว่าปีแล้ว

วัด พราหมณี มีพระประธานศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นที่เคารพนับถือกันอย่างกว้างขวาง มีชื่อว่า "หลวงพ่อปากแดง" เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สร้างด้วยโลหะสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 49 นิ้ว สูง 1 เมตร เป็นศิลปะสมัยล้านช้าง จีวรเป็นลายดอกพิกุล พระโอษฐ์แย้มทาสีแดงเห็นชัด ชาวบ้านจึงเรียกว่า "หลวงพ่อปากแดง"

สิ่งที่เด่นสะดุดตา คือ ที่ปากของหลวงพ่อมีสีแดงสด เหมือนมีผู้นำลิปสติกไปทาไว้ ผู้เฒ่าผู้แก่ย่านนั้นยืนยัน ว่าเห็นปากท่านแดงแบบนี้ มาตั้งแต่เกิด แม้แต่ปู่ย่าตายายของผู้เฒ่าเหล่านี้ก็บอกว่าเห็นมาตั้งแต่เกิดเหมือนกัน

พระ ครูโสภณพรหมคุณ หรือ "หลวงพ่อตึ๋ง" เจ้าอาวาสวัดพราหมณี เล่าว่า ตำนานเชื่อกันหลวงพ่อปากแดง เป็นพระพุทธรูปพี่น้องกับหลวงพ่อพระสุก และหลวงพ่อพระใส ที่ประดิษฐานอยู่ที่ จ.หนองคาย ในปัจจุบัน ที่ได้อัญเชิญมาจากนครเวียงจันทน์ พอมาถึงประเทศไทย ชาวบ้านได้แยกย้ายไปตามวัดต่างๆ ส่วนหลวงพ่อปากแดงนั้น ถูกชาวบ้านอัญเชิญและนำมาหยุดยังพื้นที่ว่างบริเวณที่เป็นวัดพราหมณี ปัจจุบันนี้ จากนั้นก็ลงมือสร้างวัดแล้วก็อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นเป็นพระประธานในพระ อุโบสถ

ซึ่งต่อมา "หลวงพ่อปากแดง" ก็กลายมาเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาว จ.นครนายก จนทุกวันนี้ โดยความเชื่อของประชาชนนั้น ประชาชนที่เดินทางไปเที่ยวน้ำตกสาริกา จะต้องแวะกราบสักการบูชา พร้อมกับบนบานด้วยกล้วยน้ำว้า 9 หวี หมากพลู 9 ชุด พวงมาลัย 9 พวง และน้ำแดง 1 ขวด กันอย่างล้นหลาม พร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานให้สมความปรารถนาตัวเอง

วัดพราหมณี ยังคงมีเรื่องราวเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือ เมื่อครั้งเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้เลือกบริเวณที่ตั้งของวัดพราหมณีเป็นจุดพักทัพของกองพัน ทหารที่ 37 ซึ่งมีจุดหมายจะไปรวมพลกันที่บริเวณเขาชะโงก (ปัจจุบัน คือ สถานที่ตั้งของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก)

จึง มีทหารญี่ปุ่นล้มตายอยู่ในเขต จ.นครนายก หลายแห่งด้วยกัน ปรากฏว่ามีการค้นพบกระดูกของทหารญี่ปุ่นใกล้วัดพราหมณี ดังนั้น สมาคมทหารสหายสงครามกองพลญี่ปุ่นที่ 37 จึงได้สร้างอนุสรณ์สถานไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงทหารญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2532 ณ วัดพราหมณี

ลักษณะทางสถาปัตยกรรม สร้างเป็นศาลาจตุรมุขประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทานพร ด้านหน้าพระพุทธรูปเป็นแท่นหินจารึกอักษรญี่ปุ่น ด้านซ้ายพระพุทธรูปเป็นแท่นหินอ่อน โดยมีการจารึกข้อความไว้อาลัย สดุดีความกล้าหาญ และระลึกถึงไว้ที่ฐานพระพุทธรูป

ป้ายจารึกด้านซ้ายของพระพุทธรูป และแท่นหินบูชาหน้าพระพุทธรูป ดังข้อความโดย สรุปของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดังนี้

" อนุสรณ์สถานกองพลทหารญี่ปุ่นที่ 37 จัดสร้างโดยสมาคมทหารสหายสงคราม กองพลทหารญี่ปุ่นที่ 37 เมื่อปี 2532 เพื่อเป็นที่ระลึกถึงดวงวิญญาณของบรรดา ทหารซึ่งสังกัด กองพลทหารญี่ปุ่นที่ 37 จำนวน 7,929 นาย ที่สูญเสียชีวิต ในระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อปี 2482-2488"

นอกจาก นี้ สถานที่ท่องเที่ยวภายในวัด ประกอบด้วย วิหารเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งจัดสร้างโดยกลุ่มนักธุรกิจจากไต้หวัน, ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, อุทยานการศึกษา มีรูปปั้นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์อยู่รอบบริเวณวัด เช่น ช้างพันธุ์แอฟริกา, กวาง, ควายป่า ฯลฯ สวนพักจิตร (สวนต้นไทร) ใช้เป็นที่พักผ่อนทำสมาธิหรือทำกิจกรรมยามว่าง

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ป้องกันคน เข้า phpMyAdmin ของ Mysql

เบสิค
- เปลี่ยนชื่อ phpMyAdmin เป็นชื่ออื่น เช่น C:\AppServ\www\phpMyAdminYING\

เบสิค ( กวนติงคนจะแฮค )
แนะนำสำหรับคนที่ไม่ได้ใช้ เปิด phpMyAdmin ผ่านเน็ต ( เปิดที่เครื่องตัวเองเท่านั้น )
- แก้ไฟร์ config.inc.php ที่ C:\AppServ\www\phpMyAdmin\ ตรง $cfg['PmaAbsoluteUri'] = ''; เป็น $cfg['PmaAbsoluteUri'] = 'http://localhost/phpMyAdmin/';
เวลาคนที่จะเข้ามา phpMyAdmin เรา พอกดปุป มันจะวิ่งเข้า phpMyAdmin ของคนแฮคเอง ส่วนเราจะใช้ได้ตามปรกติ

แอดว๊านซ์
ขั้นนี้คุณต้องมั่นใจในการ config นะครับเพราะถ้าแก้พลาด เข้า phpMyAdmin ไม่ได้ไม่รู้ด้วยนะ ครั๊กๆ
- เรื่องปรกติที่ทำกัน คือ เปลี่ยน pass ของ root ครับ
- User ไหนไม่จำเป็นให้ลบออกให้หมด เช่น User = root Host = % <<<< ลบออกไปเลยครับ ส่วน User = root Host = localhost เปลี่ยน Pass อย่างเดียวก็พอ
- User = ragnarok Host = localhost เปลี่ยนใหม่เถอะครับ เค้ารู้กันทั่วโลก athena แล้ว และเป็น uesr แรกที่ใช้เดาด้วย - -"
- ห้าม Config Password ลงใน Config ของ phpMyAdmin เด็ดขาด เพราะนั่นจะช่วยเอื้อประโยชน์ให้แฮคเกอร์โดยตรง
** เมื่อคุณได้ทำตาม step ที่อ่านผ่านมา แล้ว แน่ใจว่าได้ ลบ User ของ Mysql ออกเหลือที่จำเป็นต้องใช้และ ได้ทำการเปลี่ยน PassWord ของ User นั้นแล้ว ให้ท่าน reboot mysql ใหม่เพื้อให้ mysql รู้จัก user ที่เราแอดไปใหม่ และ pass ใหม่ที่เราตั้ง แล้วทำ step ต่อไปได้เลยครับ

แอดว๊านซ์ 2

- แก้ไฟร์ config.inc.php ที่ C:\AppServ\www\phpMyAdmin\ ตรง $cfg['Servers'][$i]['auth_type'] = 'config'; เป็น $cfg['Servers'][$i]['auth_type'] = 'http';

เมื่อท่านเรียก http://localhost/phpMyAdmin/ จะเด้งหน้า Authentication ขึ้นมาให้ใส่ user และ password ครับ ให้ใส่ User และ pass ที่เราตั้งไว้ครับ

จบแย้ว

** สำหรับผู้ที่ใช้ MySQL Server เวอรชั่น 4.1.xx อย่าลืมไปแก้ pass เป็น old_password ล่ะครับ เด๋วเข้ากลายเปงว่าเข้า phpMyAdmin ไม่ได้

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

5 โรคยอดฮิตของมนุษย์งาน

สำหรับมนุษย์งาน เกือบทั้งหมดของชีวิตมีแต่คำว่า “งาน ประชุม อีเมล์ ลูกค้า” คงไม่ผิดหรอกที่หลายคนภาคภูมิใจกับความสำเร็จของงานที่เกิดจากความทุ่มเทของ ตัวเอง แต่อย่าลืมว่าแม้ใจยังสู้ แต่ร่างกายเราไม่ใช่เครื่องจักร ย่อมมีวันที่เหนื่อยและอ่อนล้า ถ้ามัวแต่เลือกงานแล้วมองข้ามตัวเอง เชื่อแน่ว่าร่างกายไปก่อนแน่ๆ แต่ถ้ายังอยากสนุกกับงานไปได้อีกนานๆ ก็ลองให้เวลาตัวเองสักนิดหันกลับมาสำรวจความผิดปกติของร่างกาย จะได้รู้ว่า ร่างกายของเราส่งสัญญาณเตือนภัยแล้ว ให้หันมาใส่ใจดูแลตัวเองได้แล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข

คุณประเสริฐ ศรีอุฬารพงศ์ ผู้บริหาร “ไลฟ์เซ็นเตอร์” กล่าวว่า กว่า 10% ของคนเมือง มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็น ’โรคออฟฟิศ ซินโดรม – Office Syndrome’ ซึ่งมีสาเหตุมาจากอายุที่มากขึ้นและมลพิษต่างๆ ที่สำคัญ ‘พฤติกรรมการทำงาน’ ก็นับว่าเป็นปัจจัยให้เกิดความเสี่ยงสูงที่สุด ด้วยสภาพการทำงานที่ต้องรีบเร่ง ล้วนมีส่วนทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป ทั้งการใช้คอมพิวเตอร์วันละหลายชั่วโมง การอดอาหาร อดหลับอดนอนเพื่อทำงานให้เสร็จ ทำให้ร่างกายของเราก็ต้องแบกรับภาวะความตึงเครียด ปราศจากการผ่อนคลาย ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อร่างกายโดยไม่รู้ตัว

5 อันดับโรคยอดฮิต เกาะติดชีวิตคนเมือง

1.‘ไมเกรน’ โรคปวดศีรษะเรื้อรัง
เคยรู้สึกไหมว่าเวลานั่งทำงานเครียดเราจะรู้สึกปวดหัว บริเวณขมับ ด้านหน้าศีรษะหรือหลังต้นคอ นั่นคือ สัญญาณเตือนให้คุณรู้ล่วงหน้าว่า สภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรค ‘ไมเกรน’ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ จนจับตัวเป็นก้อนที่เรียกว่า จุด ‘Trigger Point’ และจุดดังกล่าวไปกดทับบริเวณเส้นเลือดที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงศีรษะ ทำให้เส้นเลือดหลังจุด‘Trigger Point’ เกิดการขยายตัวผิดปกติ ส่งผลให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอจึงทำให้เกิดอาการปวด ศีรษะขึ้น นอกจากนี้ แสงแดด ความร้อน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และการขาดฮอร์โมนบางชนิด ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิด ‘ไมเกรน’ ได้เช่นกัน

“ไมเกรน” มักจะพบในช่วงอายุ 10-50 ปี อัตราเฉลี่ยเพศหญิง ร้อยละ 18 และเพศชาย ร้อยละ 6 วิธีการดูแลให้ห่างไกลจาก “ไมเกรน” ก็สามารถทำได้ง่ายๆ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่อากาศถ่ายเทไม่ร้อนจนเกินไป บริหารกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอให้มีการยืดหยุ่นอยู่เสมอเพื่อเลี่ยงการ เกร็งตัวของกล้ามเนื้อ เปลี่ยนอิริยาบถในการนั่งทำงานเพื่อลดการเกร็งตัวสะสมของกล้ามเนื้อ หรือปรึกษาแพทย์อายุรเวท (แผนไทยประยุกต์) เพื่อทำการกดจุดสลาย ‘Trigger Point’ บริเวณกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย

2.สภาวะเสียสมดุล
ปกติร่างกายของมนุษย์ถูกออกแบบขึ้น เพื่อรองรับภาวะรบกวนต่างๆ จากสิ่งแวดล้อม พร้อมขจัดและปรับระบบให้สามารถทำงานได้อย่างปกติมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมี “สมอง” เป็นจุดศูนย์รวมของการทำงานของร่างกาย

“สมอง” จะทำหน้าที่ออกคำสั่งและส่งคำสั่งนั้นไปตามเส้นประสาทเพื่อไปควบคุมการทำงาน ของอวัยวะภายในร่างกายทุกระบบ รวมทั้งกล้ามเนื้อ และข้อต่อต่างๆ ซึ่งระบบรากประสาททั้งหมดออกมาตามแนวกระดูกสันหลัง แต่หากแนวกระดูกสันหลังเสียสมดุล ไม่อยู่ในแนวความโค้งที่ปกติ (เช่น ค่อม งอ คด แอ่น) โดยมีสาเหตุหลักมาจากการนั่งทำงานในออฟฟิศที่ผิดวิธี หรือทำงานในลักษณะซ้ำๆตลอดทั้งวัน ทำให้กล้ามเนื้อทานไม่ไหว ร่างกายก็จะฟ้องออกมาในรูปแบบของความเจ็บปวดต่างๆ เช่น ปวดหลังเรื้อรัง ปวดคอ ชาหรือแขนขาไม่มีแรงเป็นต้น ในระยะแรกอาจไม่แสดงผลอย่างชัดเจน แต่ถ้าละเลยอาจรุนแรงถึงขั้นทับเส้นประสาท อาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ หรือแม้แต่ส่งผลให้เป็นโรคภัย, ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ผิดปกติได้ด้วย

การดูแลและป้องกันนั้น มีวิธีง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเองทุกวัน โดยคืนความสมดุลให้กับโครงสร้างร่างกาย เช่น การยืดหยุ่นร่างกายไม่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป เพื่อลดอัตราการเกร็งกล้ามเนื้อ หรือไม่ทำให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักมากเกินไป หรือเพิ่มการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลัง ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ เพราะกล้ามเนื้อเป็นตัวยึดให้กระดูกอยู่ในแนวปกติถือเป็นการคงสภาพให้โครง สร้างร่างกายอยู่ในภาวะที่สมดุล เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถทำการปรึกษากับนักกายภาพบำบัดเพื่อทำการปรับโครงสร้างร่างกาย พร้อมปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินไลฟ์สไตล์ใหม่ได้เช่นกัน

3.กระดูกสันหลังคดงอ ‘อาการปวดหลังเรื้อรัง’
หนุ่มสาวชาวออฟฟิศสมัยใหม่ ที่ทำงานนั่งอยู่กับโต๊ะ ใช้ชีวิตคร่ำเคร่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบวันละ 8 ชั่วโมง ใส่ร้องเท้าส้นสูงบ่อยๆ เคยลองสังเกตไหมว่าร่างกายสะสมความอ่อนเพลียและเมื่อยล้าไว้มากขนาดไหน และรู้หรือเปล่าว่านั้นคือสาเหตุเริ่มต้นของโรคปวดหลังเรื้อรัง ซึ่งโดยค่าเฉลี่ย 80% มักจะเคยมีอาการปวดหลังสักครั้งในชีวิต และกว่า 20% จะพบว่ามีอาการปวดหลังแบบเรื้อรัง มาจาก ‘กระดูกสันหลังคดงอ’

วิธีการรักษาที่นิยมทำกันโดยทั่วไปในปัจจุบันมีอยู่ 2 วิธี คือ การรักษาด้วยการให้ยาและกายภาพบำบัดแบบ Passive ซึ่งช่วยลดอาการปวดได้ดี แต่ไม่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างพอเพียงที่จะป้องกันอาการปวดซ้ำซากใน อนาคตได้ ส่วนวิธีการรักษาแบบ ‘Active Rehabilitation’ นั้นเป็นแนวทางใหม่ที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ เป็นที่ยอมรับกันว่าสามารถระงับปัญหาอาการปวดเรื้อรังได้อย่างถาวร ดีกว่าการรักษาแบบเดิมๆ และการออกกำลังกายที่เน้นตรงกล้ามเนื้อในส่วนที่มีปัญหา โดยออกแบบโปรแกรมให้เข้ากับเฉพาะตัวบุคคล และมีผู้ดูแลควบคุมใกล้ชิดนั้นได้ผลดีกว่าการออกกำลังกายตามลำพังตัวคนเดียว อย่างชัดเจน

4.ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ
อีกโรคที่คุกคามอย่างเงียบๆ คงจะหนีไม่พ้น ‘ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ เอ็นกล้ามเนื้อต้นคออักเสบ’ หรือ ‘Carpal Tunnel Syndrome (CTS)’ ที่กำลังขยายวงกว้างในกลุ่มคนที่ต้องนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ โดยสาเหตุหลักเกิดจากการการใช้ข้อมือในการยึดจับสิ่งของ หรือเม้าส์คอมพิวเตอร์ในท่าเดิมๆ เป็นระยะเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบและเกิดพังผืดยึดจับ บริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก หรืออาจเกิดจากการทำงานของเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณผ่านท่อนแขนจากข้อศอกไปยัง บริเวณข้อมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เกิดอาการปวดของปลายประสาท หรือเส้นเอ็นบริเวณต้นคอเกิดการอักเสบนั้นก็เกิดจากสาเหตุเดียวกัน

ทั้งนี้ หากอยากห่างไกลความเสี่ยง ควรเลือกวิธีปฎิบัติง่ายๆ ในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณมือและข้อมือทุก 15-20 นาที แต่ในกรณีที่มีอาการอักเสบรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดภาวการณ์บาดเจ็บที่รุนแรง และลดอัตราการผ่าตัดลง

5.‘หูดับ’ โรคประสาทหูเสื่อม
อีกหนึ่งภัยคุกคามที่คนเมืองควรรู้กับปัญหา ‘หูดับ’ หรือโรคประสาทหูเสื่อม ซึ่งส่วนมากเกิดจากปัจจัยหลายสาเหตุ อาทิ กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด หรือปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เป็นต้น ส่งผลให้ระดับการได้ยินเสียงลดลง โดยปกติประสาทหูจะเริ่มเสื่อมทีละน้อยๆ ในช่วงอายุประมาณ 30-50 ปีขึ้นไป แต่ในปัจจุบันความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในไลฟ์สไตล์ของคนเมือง มากขึ้น สังเกตได้จากค่านิยมในการใช้มิวสิคโฟนผ่านทางมือถือและเครื่อง MP3 การใช้โทรศัพท์มือถือนานๆ ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมได้

อย่างไรก็ตาม อาการของประสาทหูเสื่อมสภาพนั้น ในขั้นต้นหากรู้สึกว่าได้ยินเสียงลดลง ได้ยินเสียงไม่ชัดเจนต้องตั้งใจฟังหรือให้คู่สนทนาต้องพูดซ้ำบ่อยๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อตรวจหาสาเหตุความบกพร่องทางการได้ยินพร้อมรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ หรือปรึกษาศูนย์ฯบริการด้านการได้ยิน เพื่อตรวจวัดระดับของการได้ยินพร้อมรับคำปรึกษา และแนวทางฟื้นฟูการฟัง เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ

แม้ว่าทั้งหมดนี้คือ 5 อันดับโรคยอดฮิตสำหรับคนทำงาน แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีโรคภัยอีกมากมายที่คืบคลานเข้ามาหาตัวเรา ถ้าเรายังเลือกทำแต่งาน แล้วมองข้ามสุขภาพตัวเอง ดังนั้นเราควรใส่ใจตัวเองและหาความสมดุลให้กับชีวิตกันดีกว่า
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ

ฉีดโบท็อก

ใครอยากหน้าเด้ง ไม่มีริ้วรอย ลองศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถึงข้อดีข้อเสีย ก่อนที่จะตัดสินใจไปใช้บริการดีกว่า

จากกรณีที่ วิทย์ วรวิทย์ แก้วเพชร ดาราดัง ออกมาให้ข่าวว่า ไปใช้บริการคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง ด้วยการฉีด โบท็อกซ์ แล้วเกิดผลข้างเคียง จนหนังตาข้างซ้ายย้อยลงจนเกือบปิด คงทำให้ผู้อ่านที่อยากหน้าเด้ง ไม่มีริ้วรอย หันมาศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถึงข้อดีข้อเสีย ก่อนที่จะตัดสินใจไปใช้บริการ

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า โบท็อกซ์ เป็นชื่อทางการค้าของ โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ซึ่งเป็นพิษของแบคทีเรีย คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม

พิษของแบคทีเรีย คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม คือ โบทูลินั่ม ท็อกซิน ทำให้เกิดอาการในคนได้ จากการรับประทานอาหารกระป๋องซึ่งปนเปื้อนพิษนี้ ที่เป็นข่าวฮือฮาในบ้านเราก็คือการรับประทานหน่อไม้ปี๊บ เรียกอาการโรคนี้ว่า โบทูลิซึ่ม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปากแห้ง คลื่นไส้ อาเจียน เกิดตาพร่า เห็นเป็นสองภาพ ต่อมาจะกลืนลำบาก หายใจไม่ออก เกิดอัมพาตของแขนขา และอาการอัมพาตของระบบประสาทอัตโนมัติจะเห็นเด่นชัดขึ้น เช่น ท้องอืด ถ่ายปัสสาวะไม่ออก ความดันโลหิตตก ถึงขั้นหยุดหายใจและเสียชีวิตได้

การนำ โบทูลินั่ม ท็อกซิน มาใช้ทางการแพทย์ ในระยะเริ่มแรกจักษุแพทย์นำมารักษาภาวะตาเหล่ และภาวะกล้ามเนื้อตาหดเกร็งผิดปกติ ต่อมาเมื่อปี 2530 พญ.จีน คาร์รูเธอร์ จักษุแพทย์ชาวแคนาดา ได้สังเกตเห็นว่ารอยย่นหัวคิ้วจะหายไปเมื่อฉีด โบทูลินั่ม ท็อก ซิน รักษาภาวะกล้ามเนื้อตาหดเกร็งผิดปกติ จึงได้ร่วมกับสามีซึ่งเป็นแพทย์ผิวหนัง นำมารักษารอยย่นบนใบหน้า เช่น รอยย่นบริเวณหัวคิ้ว รอย ย่นบนหน้าผาก รอยตีนกา พบว่าได้ผลดี และรายงานผลการศึกษาในปี 2533 จึงเกิดกระแสนิยมใช้ โบทูลินั่ม ท็อกซิน ในกลุ่มแพทย์สาขาโรค ผิวหนังเพิ่มขึ้น

วิธีการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน จะฉีดเข้ากล้ามเนื้อใต้ผิวหนังแต่ละจุด โดยปริมาณในการฉีดแต่ละครั้งจะแตกต่างกันตามความกว้างของพื้นที่ผิวหนังและ จำนวนรอยย่นของผิวหนังคนไข้แต่ละราย ฉีดครั้งหนึ่งจะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน ทั้งนี้การฉีดจะต้องให้ขนาดยาเท่ากัน 2 ข้าง เพื่อให้รูปหน้าซ้ายขวาเหมือนกัน การฉีดยาในปริมาณต่ำจะปลอดภัยกว่าและสามารถฉีดเพิ่มเติมภายหลังได้ โดยเฉพาะบริเวณหางตาควรใช้ยาในปริมาณต่ำ

ผลข้างเคียงของการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน พบน้อย เช่น อาการเจ็บบริเวณฉีด ผิวหนังเกิดรอยช้ำจากการฉีด มึนศีรษะหรือคลื่นไส้ แต่ถ้าใช้เข็มขนาดเล็กและฉีดอย่างระมัดระวังมักไม่เกิดปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ไม่ควรขยี้บริเวณฉีด เพราะยาอาจกระจายออกนอกรอยฉีด หลังฉีดแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว 2-3 ชั่วโมง เช่น ยิ้ม ขมวดคิ้ว หรือเลิกคิ้ว จะช่วยให้ยาเข้าไปเกาะในเซลล์สะดวกขึ้น ก่อนฉีดควรถามประวัติการรับประทานยากลุ่มแอสไพริน และยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเซด ซึ่งจะทำให้เกิดรอยช้ำง่าย จึงควรหยุดยาดังกล่าว 7-10 วันก่อนฉีด

ปัญหาแทรกซ้อนหลังการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน ที่อาจเกิดขึ้นได้มีดังนี้

1.หนังตาตก พบได้หลังฉีดยารักษารอยย่นของหน้าผาก จะเกิดหลังฉีด 7-10 วัน และอาการจะดีขึ้นใน 2-4 สัปดาห์

2.คิ้วตก การฉีดยารักษารอยย่นหน้าผาก ถ้าฉีดบริเวณใกล้หางคิ้ว จะทำให้ไม่สามารถเลิกคิ้วได้ ทำให้ใบหน้าไม่สามารถแสดงความรู้สึก

3.มุมปากบนห้อยลง การฉีดรอยตีนกา ถ้าฉีดลึกยาอาจซึมเข้ากล้ามเนื้อ และทำให้ริมฝีปากบนหย่อนลงได้

4.ตาแห้ง การฉีดรักษารอยตีนกา ยาอาจซึมเข้าต่อมน้ำตา ทำให้การสร้างน้ำตาลดลง

5.การฉีดซ้ำหลายครั้งกล้ามเนื้ออาจลีบและเกิดพังผืดในกล้ามเนื้อ

6.การเกิดภูมิต้าน โบทูลินั่ม ท็อกซิน จากการศึกษาพบว่า ถ้าฉีดในปริมาณมากกว่า 300 หน่วย ทุกเดือนติดต่อกัน จะทำให้เกิดสารต้าน ภูมิได้
ที่มา : http://lifestyle.th.msn.com/

แปลงกายเป็นสาวเปรี้ยว 4 ลุค สนุกสนาน

เคยคิดว่าอยากจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนลุคให้ดูสดใสร่าเริงด้วยโทนแต่งหน้าสีหวานๆ

อย่าง เช่น ส้ม เขียว น้ำเงิน ราวกับสีของไอศกรีมกันบ้างหรือเปล่า เครื่องสำอางบีเอสซี คอสเมโทโลจี บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดตัว “เมกอัพ คอลเลกชัน” ใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสีสันของไอศกรีมเชอร์เบท ที่มีเสน่ห์ความงาม หลากสีสันสดใส เหมาะกับสาวๆ วัยมันส์ หรือผู้มีหัวใจรักความสดชื่น เปรี้ยวจี๊ด ที่รังสรรค์โดย กฤษณะ มโนหาญ เมกอัพ อาร์ติสต์ ของบีเอสซี ออกแบบสีสันเครื่องสำอางมาให้สาวๆ ได้สวยรับฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังมาถึงนี้ด้วย 4 คอลเลกชัน ได้แก่ Raspberry pink Sherbet, Blueberry wild Sherbet, Orange fab Sherbet และ Green lime Sherbet

เผยผิวสดใส

ครีเอทีฟ เมกอัพ ไดเรกเตอร์ ของบีเอสซี บอกว่า ผู้หญิงแต่ละคนก็สามารถแต่งหน้าโทนสีสันสดใสดังเช่นไอศกรีมได้ เพียงแต่เลือกสไตล์การแต่งหน้าให้เข้ากับบุคลิกของตัวเอง เพื่อการเป็นลุคของคุณให้ดูน่าสนใจ ทันสมัยขึ้น อีกทั้งหากเลือกเครื่องประดับแนวสีสันสดใสสักชิ้น เช่น เข็มขัด สร้อย หรือกระเป๋า ก็ช่วยเสริมบุคลิกมากขึ้น

ส่วนเลือกสีของเมกอัพนั้น ควรเลือกสีที่เข้ากัน หรือเลือกเฉพาะบางอย่าง เช่น การวาดเส้นไลเนอร์หรือทาเล็บสีสดๆ อาจใช้โทนสีที่ดูกลมกลืนกัน หรือโทนสีที่ตัดกันก็ได้ แค่นี้ก็จะทำให้สุภาพสตรีดูโดดเด่นสะดุดตาขึ้นทันที พร้อมบอกต่อเทรนด์การแต่งหน้าที่มาแรงของฤดูนี้ คือ การแต่งหน้าที่เผยผิวสดใส เช่น เบสก่อนทาแป้งหรือลงรองพื้นก็จะช่วยทำให้ผิวดูสว่างใสมากกว่าปกติ มีประกายชิมเมอร์อ่อนๆ ทำให้ผิวแลดูสุขภาพดี โดยเฉพาะวิธีเน้นที่ดวงตาให้กลายเป็นสาวหวานสะกดหัวใจชายหนุ่ม อาทิ

ดวงตา เน้นการเขียนเส้นไลเนอร์ชัดๆ เช่น สีดำเข้ม หรือเล่นโทนสีสดสว่าง วาดในแบบต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น

บิ๊กอายส์ : ตาโตๆ ให้เขียนเป็นแนวตรงๆ เชื่อมตาบนและล่างเข้าด้วยกัน และยาวเลยหางตาออกไป ทำให้ตาดูโตและยาวขึ้น

แคตส์ อายส์ : เป็นดวงตาที่ดูโฉบเฉี่ยว เริ่มโดยการลากเส้นตรงแล้วตวัดปลายพู่กันยกเฉียงช่วงปลายหางตา
หมายเหตุ ส่วนสีของดวงตาจะเป็นโทนสีสว่างสดหรือโทนสีอ่อนตามธรรมชาติที่มีชิมเมอร์ด้วย

พวงแก้มและลิปสติก จะเป็นโทนชมพูหวานหรือสีส้ม (Orange) เนื้อออกด้านๆ ไม่มีมันวาวเหมาะสำหรับสาวมาดมั่น Active ที่ดูไม่ธรรมดา
แต่งหน้า 4 ลุค เหมาะกับใครบ้าง

Raspberry pink Sherbet : ชมพูหวาน

หวานล้ำฉ่ำกับชมพูราสพ์เบอร์รีแอบเปรี้ยวสนิทใจ เพ่งพิศมุมไหนดูสดใสอ่อนหวานสร้างความเปล่งประกายสวยยวนตา สดใสอ่อนหวาน ลุคนี้เหมาะสำหรับสาวหวานผู้หลงใหลในชมพูหวาน

ดวงตา : เลือกทาอายแชโดว์สีสันสดใสออกสไตล์หวานๆ เสมือนผลราสพ์เบอร์รี อาทิ สีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้ม หรือสีชมพู เติมอายไลเนอร์สีชมพูสดลงไปช่วยเพิ่มเติมความหวาน

พวงแก้ม : เพิ่มสีสันให้พวงแก้มเปล่งประกายระเรื่อดั่งสาววัยใสด้วยบลัชออน 4 สี สร้างมิติให้ใบหน้าเรียวมนสวยสมใจ

ริมฝีปาก : เลือกสีลิปสติกทาในโทนสีชมพูหวาน สีชมพูราวกับผลราสพ์เบอร์รีจะช่วยทำให้ริมฝีปากสุกปลั่งราวดังผลแรกผลิตจน สุกพร้อมได้ลิ้มลอง เพิ่มความคมชัดให้เรียวปากด้วยลิปไลเนอร์ เนื้อแมตช์ ช่วยแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆ ของริมฝีปาก

เรียวเล็บ : เลือกโทนสียาทาเล็บได้ 2 เฉดสี ทั้งชมพูเจิดจ้า และชมพูหวานละมุน

Blueberry wild Sherbet : น้ำเงินโดดเด่น

ร่ายมนต์ส่งเสน่ห์หลงใหลไปกับฟ้าบลูเบอร์รีป่า แต่งหน้าลุคนี้จะทำให้ผู้หญิงดูสวยคมเข้ม แอ็กทีฟ และมาดมั่น โทนสีฟ้ามาดมั่นตรึงใจ เติมความเปรี้ยวด้วย Liner สีฟ้าสดใส

ดวงตา : ใช้อายแชโดว์เติมแต่งดวงตาให้มีสีสันสดใสราวลูกกวาด ฟ้าอ่อน แกมแก่ประกายเงินระยิบระยับ เพิ่มความน่าสนใจด้วยการใช้อายไลเนอร์สีฟ้าเพิ่มเสน่ห์ให้ดวงตามากขึ้น

พวงแก้ม : ปัดบลัชออนสีชมพูช่วยทำให้พวงแก้มเปล่งประกายดุจดอกไม้แรกแย้ม ดูอ่อนเยาว์ เผยความงามแสนสดใส

ริมฝีปาก : เพิ่มเสน่ห์ให้ริมฝีปากด้วย Lip Colors ช่วยให้ริมฝีปากเย้ายวนชวนจุมพิตด้วยความหวานบานสะพรั่งกับสีชมพูหลากสี เพิ่มรูปทรงให้เรียวปากได้คมเข้มเป็นรูปกระจับด้วยการเขียน Lip Liner เน้นเรียวปากให้จิ้มลิ้มหวานแหววเกินห้ามใจ

เรียวเล็บ : ลุคนี้อย่าลืมแต้มน้ำยาทาเล็บสีฟ้าน้ำเงินสวยช่วยเพิ่มพลังมหัศจรรย์ชวนค้นหามากขึ้น

Orange fab Sherbet : ส้มเปรี้ยวจี๊ด

ส้มสวยสดสร้างสรรค์ ตรึงตาสะดุดใจ พิศแล้วเพลินเกินใคร งามเปล่งเปรี้ยวเฉี่ยวไฉไล ส้มสวยสดสร้างสรรค์ ตรึงตาสะดุดใจ เติมความสวยสร้างสรรค์ในวันธรรมดาที่ไม่ธรรมดาสำหรับสาว Working Women

ดวงตา : ทาอายไลเนอร์เติมประกายความผุดผ่องสว่างตาด้วยโทนสีน้ำตาลแชมเปญ ชมพู หรือน้ำตาลแดง เพิ่มความเข้มให้ดวงตาด้วยอายไลเนอร์สีส้มโฉบเฉี่ยว คุณจะกลายเป็นลุคสาวเปรี้ยวทันที

พวงแก้ม : พวงแก้มเปล่งปลั่งทอประกายขับให้ผิวดูสว่างอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมอณูเม็ดสี ที่คงความสมชัดสมจริง ด้วยบลัชออนสีส้มและน้ำตาลแดง

ริมฝีปาก : เพิ่มความชุ่มชื่นให้ริมฝีปากด้วยลิปสติกเนื้อวาว 4 เฉดสี อย่าลืมเพิ่มความสวยให้รูปริมฝีปากด้วย Lip Liner โทนสีใกล้เคียงกับสีลิปสติก

เรียวเล็บ : ลุคนี้ต้องน้ำยาทาเล็บสีส้ม หรือน้ำตาลแดงเท่านั้น

Green lime Sherbet : เขียวสดใส

สไตล์นี้สะท้อนความสนุกสนานมีชีวิตชีวาเหมาะกับสาวเปรี้ยววัยมัน สาวลุคนี้ขอบอกว่าเปรี้ยวปรี๊ดเข็ดฟัน มะนาวเรียกพี่ สะท้อนฤดูกาลแห่งความสนุกสนาน

ดวงตา : อายแชโดว์เฉดสีล่าสุดที่ให้เนื้อสีเนียนละมุนสดฉ่ำกับสีเขียวประกายพร้อมสี ส้มจัดจ้านท้าทาย เติมอายไลเนอร์เพิ่มดีกรีความมั่นใจกรีดอายไลเนอร์สีเงินเซ็กซี่ทันสมัย

พวงแก้ม : แต่งเติมประกายผิวสวยบ่มแดดเรืองรอง โปร่งเบา แนบเนียนเป็นธรรมชาติ

ริมฝีปาก : สร้างความสดใสให้ใบหน้าด้วยริมฝีปากสีนู้ดปนส้มเจือน้ำตาล เติมเรียวปากด้วยลิปไลเนอร์ ให้เรียวปากบางเฉียบคมกริบเพิ่มความแข็งแกร่งในความแววใส

เรียวเล็บ : สองเฉดสีสองสไตล์เขียวรักโลกทั้งคู่
ที่มา : หนังสือพิมพ์ โพสต์ ทูเดย์

การเลือกใช้คอนซีลเลอร์

ใครๆ ก็คงอยากมีผิวที่สวยใส แต่ความจริงคนเรามักพบว่าเราต้องเผชิญปัญหาผิวหลากหลาย

ไม่ว่าจะเป็น จุดด่างดำ รอยดำและแดงจากสิว ริ้วรอย รูขุมขนที่เด่นชัด ปรากฏอยู่บนใบหน้า ทาแป้งเท่าใดหรือยิ่งปกปิดมากเท่าใดก็เหมือนกับไปทำให้ปัญหาผิวเด่นชัดมาก ขึ้น แม้ว่าเราจะดูแลรักษาผิวด้วยสกินแคร์ชนิดต่างๆ หรือพึ่งวิทยาการอันทันสมัย อาทิ การใช้เลเซอร์ในการรักษา แต่การรักษาแบบนี้ต้องใช้เวลา ในระหว่างที่ทำการรักษามักทิ้งร่องรอยการรักษาไว้มากมาย อาทิ รอยดำที่เกิดจากการทำเลเซอร์ รอยแดงที่เกิดจากการกดสิว ฯลฯ สาวๆหลายคนจึงมองหาทางออกที่รวดเร็วกว่าในการปกปิดจุดบกพร่องเหล่านั้น ทำให้ผลิตภัณฑ์เมกอัพกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการปกปิดจุดบกพร่องดังกล่าว ส่วนใหญ่วิธีที่สาวๆ เลือกใช้กันก็คงเป็นการแก้ไขเฉพาะจุดด้วยผลิตภัณฑ์ที่ชื่อว่า คอนซีลเลอร์ วันนี้เคลย์ เดอ โป โบเต้ มีวิธีในการใช้คอนซีลเลอร์มาฝากกันค่ะ

หลักในการเลือกคอนซีลเลอร์ให้เหมาะกับผิวคุณ

คอน ซีลเลอร์ที่ดี เวลาทาแล้วต้องเนียนเรียบสามารถปกปิดปัญหาผิว และควรเลือกสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวของคุณจึงจะดีที่สุด การเลือกสีคอนซีลเลอร์ที่ใกล้เคียงกับสีผิวจะทำให้การปิดทำได้อย่างเป็น ธรรมชาติ แต่หากคุณเลือกคอนซีลเลอร์ในเฉดสีสว่างปกปิดส่วนที่ดำคล้ำ นั่นจะทำให้เนื้อผิวส่วนนั้นกลายเป็นสีเทา ทำให้จุดบกพร่องบริเวณนั้นแลดูเด่นชัดมากกว่าจะเป็นการปกปิด คอนซีลเลอร์มีให้เลือกมากมายทั้งแบบชนิดแท่ง ชนิดครีม ชนิดลิควิด บางชนิดถูกบรรจุอยู่ในตลับ หรืออยู่ในรูปสติ๊ก นอกจากนั้นยังมีให้เลือกอีกหลากหลายเฉดสีโดยคุณสมบัติของสีต่างๆ จะขึ้นอยู่กับปัญหาของผิว สาวๆ หลายคนคงกังวลว่าคอนซีลเลอร์ชนิดใดและสีใดถึงจะเหมาะกับผิวของเรา ปัญหาเหล่านี้ไม่ยากอีกต่อไปค่ะ เคลย์ เดอ โป โบเต้ มีวิธีแก้ปัญหาแบบใช้เวลาไม่นานมาแนะนำค่ะ หากคุณสาวๆนอนดึก คร่ำเคร่งกับการเรียนและการทำงาน พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีรอยหมองคล้ำบริเวณรอบดวงตาโดยกรรมพันธุ์แต่กำเนิด ทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำไม่สดใส แลดูแก่ก่อนวัย หากสาวๆอยากปกปิดปัญหาผิวในบริเวณนี้ทำได้ง่ายๆโดยใช้คอนซีลเลอร์เลือกในเฉด Yellow-Based (สีเนื้อ , สีเหลือง) เพื่อเพิ่มความสว่างในบริเวณนั้น หากคุณมีปัญหารอยแดงอันเกิดจากสิว การแสบแดงจากการโดนแสงแดด การแพ้ระคายเคือง ควรเลือกคอนซีลเลอร์ในโทน green-based ก็จะสามารถปกปิดจุดบกพร่องดังกล่าวได้ ซึ่งเป็นสีที่สามารถนำมาปรับใช้แก้ปัญหาผิวได้มากมายหลากหลาย อาทิ หากสาวๆไม่มีรองพื้นในเฉด Yellow-Based หรือ Green-Based ก็ไม่ต้องตกใจไปให้นำอายแชโดว์สีเหลือง หรือ สีเขียวที่คุณมีมาผสมกับคอนซีลเลอร์แล้วนำไปทาในบริเวณดังกล่าวก็จะให้ผล ใกล้เคียงเหมือนกัน หากคุณมีรอยแผลเป็นเล็ก ๆ เช่น สิว ให้คุณใช้คอนซีลเลอร์สีเข้มกว่าสีผิวคุณหนึ่งระดับจะสามารถปกปิดปัญหาดัง กล่าวได้ หากคุณมีรอยแผลเป็นที่ใหญ่ควรใช้คอนซีลเลอร์ที่สามารถปกปิดรอยแผลเป็นโดย เฉพาะ สำหรับซัมเมอร์คุณอาจต้องการคอนซีลเลอร์ในโทนสีที่เข้มเพื่อทำให้ผิวคุณ เหมือนเป็นผิวที่บ่มแดดมาหมาดๆ

แล้วเราควรใช้คอนซีลเลอร์ตอนไหนถึงจะดีที่สุด
เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดเรา ควรใช้คอนซีลเลอร์ก่อนการลงรองพื้น เวลาที่เราจะใช้คอนซีลเลอร์ไม่ว่าจะแบบเนื้อครีมหรือสติ๊ก เราควรใช้ไม้พายป้ายเป็นจุดๆบนผิวที่เราจะปกปิดและใช้มือสะอาดค่อยๆเกลี่ย อย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการทำรุนแรงกับผิวซึ่งอาจก่อให้เกิดริ้วรอยตามมาได้ วิธีการเกลี่ยให้แต้มทีละนิดๆโดยใช้ ปลายนิ้วนางค่อยๆตบเนื้อคอนซีลเลอร์เข้าสู่ผิวอย่างเบามือ จนรู้สึกว่าเนื้อผลิตภัณฑ์ปกปิดรอยต่างๆได้ดี ไม่ควรถูเนื้อผลิตภัณฑ์ แรงเกินไปเพราะจะกลายเป็นถูเอาคอนซีลเลอร์ออกไปจากผิวมากกว่า หลังจากนั้นให้ตามด้วยรองพื้นที่เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาของคุณ ตบท้ายด้วยการใช้แป้งฝุ่น Translucent Powder ในการดูดซับความมันส่วนเกินและทำให้ผิวหน้านวลเนียน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Cle de Peau Beaute Division โทร. 02-719-9515
ที่มา : http://lifestyle.th.msn.com/

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

10 สารต้านอนุมูลอิสระ

1.สารสกัดจากเมล็ดองุ่น

สารซูเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์คุณค่าสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่า และวิตามินอี 50 เท่า อยู่ในกระแสเลือดได้นานถึง 72ชม.สามารถป้องกันและลดการทำลายล้างจาก สารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายเราตลอดเวลา ทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน โดยเฉพาะระบบหลอดเลือด หัวใจ ผิวหนัง และตา ช่วยชะลอการเสื่อมของผิวพรรณไม่ให้แก่ก่อนวัยอย่างตรงจุด ปริมาณการใช้ วันละ 20-60 มก.

2.ชาเขียว

สารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์หลายชนิด โดยเฉพาะสาร EGCG ที่มีฤทธิ์มากกว่าวิตามินอีถึง 20 เท่า สามารถลดอัตราการเป็นมะเร็งของอวัยวะ โดยเฉพาะมะเร็งปอด, มะเร็งลำไส้, มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเป็นพิษจากการสูบบุหรี่ ปริมาณการใช้ วันละ 300-1,000 มก.

3. สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส

ช่วยแก้ปัญหาเรื่อง ฝ้าด้วยการควบคุมการทำงานของกระบวนการสร้างเม็ดสี ให้อยู่ในสภาวะที่สมดุล มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ปริมาณการใช้ วันละ 75 มก.

4. โคเอนไซม์คิวเท็น

สร้างพลังงานในระดับเซลล์ให้ทำงานได้อย่างปกติ เซลล์ที่ต้องการพลังงานสูงและต้องการโคเอนไซม์คิวเท็นมากเป็นพิเศษ ได้แก่ เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์สมอง เพื่อให้มีความตื่นตัว เพิ่มทักษะในการจดจำและผ่อนคลายจากความตึงเครียด ส่วนเซลล์ผิวหนัง ต้องการโคเอนไซม์คิวเท็นเพื่อช่วยฟื้นฟูความสดใส ปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.

5.เนชันรัลเบต้าแคโรทีน

บำรุงสายตาและผิวพรรณ ป้องกันการเกิดมะเร็งที่ปอดจากการสูบบุหรี่ ช่วยลดการก่อเซลล์มะเร็งที่ผิวหนัง เบต้าแคโรทีนจากธรรมชาติที่สกัดได้จากสาหร่าย เป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีนที่เข้มข้น และปลอดภัย ปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.


6. ลูติน

เป็นสารธรรมชาติพบได้มากในพืชผักที่มีสีเขียวเข้ม เช่น ผักกาดเขียวใบหยิก ผักปวยเล้งลูตินจะเป็นสารอาหารที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของจุดรับภาพและจอ ประสาทตาได้ดีปริมาณการใช้ วันละ 6-20 มก.

7. กรดอัลฟาไลโปอิค

สารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติมีบทบาทสำคัญในการช่วยปรับปรุงกระบวนการเผาผลาญ น้ำตาลให้เป็นพลังงานจึงช่วยป้องกันและบรรเทาโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวาน ได้ดีปริมาณการใช้ วันละ 50-200 มก.

8.สารสกัดจากใบแปะก๊วย

ป้องกันความเสื่อมของเซลล์สมองช่วยบำรุงสุขภาพสมองอย่างมีประสิทธิภาพและ เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันที่สมองเช่นกัน ปริมาณการใช้ วันละ 40-80 มก.

9. วิตามินซี

ป้องกันโรคหวัด และบรรเทาอาการภูมิแพ้ ช่วยสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณ คลายความเครียด ความอ่อนเพลีย แก้สภาวะการเป็นหมันในผู้ชาย โดยช่วยเพิ่มความแข็งแรง และปริมาณของตัวอสุจิอีกด้วยปริมาณการใช้ วันละ 1,000-4,000 มก.

10. วิตามินอี

บำรุงผิวพรรณ ป้องกันโรคหัวใจและการอุดตันของเส้นเลือดในหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง ต่างๆปริมาณการใช้วันละ200-400มก.

น้ำตาลเลี้ยงสมองน้อย-เหตุอัลไซเมอร์

ดร.โรเบิร์ต วาสซาร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคอัลไซเมอร์ จากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น สหรัฐอเมริกา พบว่า จำนวนน้ำตาลในเลือดที่ไหลผ่านสมองน้อยลงนั้น อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคอัลไซเมอร์


คณะของมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น วิเคราะห์สมองมนุษย์และสมองหนู จนสังเกตได้ว่า โปรตีน "elF2alpha" เปลี่ยนไปเมื่อสมองไม่ได้รับพลังงานเท่าที่ควร ซึ่งสมองจะได้รับพลังงานที่พอเพียงได้ก็ต่อเมื่อน้ำตาลในเลือดเข้าไปเลี้ยง สมองอย่างสม่ำเสมอ



ดร.วาสซาร์กล่าวว่า " การค้นพบนี้สำคัญมาก เพราะทำให้เราทราบว่าถ้าน้ำตาลในเลือดผ่านสมองมากขึ้นอาจเป็นวิธีป้องกัน หรือแม้กระทั่งรักษาโรคอัลไซเมอร์ เช่น ควรออกกำลังกายมากขึ้น ลดการรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และรักษาระดับความดันเลือด"

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การรับขันธ์อันตรายถึงชีวิต

มีผู้คนจำนวนมากถูกทักว่ามาองค์ เป็นช่องทางทำมาหากินของพวก มิจฉาชีพ อาสัยช่องทางของเรื่องลี้ลับมาหลอกลวงต้มตุ๋น แท้จริงแล้วมนุษย์เราเกิดมามีองค์เทพปกปักษ์รักษา อย่างน้อย 2 องค์ (อยู่ห่างจากเราเพียง 3 ศอก) ตำหนักทรง ร่างทรงต่างๆ หลอกให้ไปรับขันธ์ ล้วนแล้วแต่เป็นผี หรือสัมภเวสีทั้งสิ้น

เนื่องจากผีเหล่านี้ร่อนเร่พเนจร ไม่มีสังขาร จึงมาอาศัยร่างมนุษย์เกาะกินบุญ ทำบุญไปเท่าไหร่สัมภเวสีพวกนี้เอาไปหมด ทำบุญมาก แต่ชีวิตก็ไม่ดีขึ้น มันจะดีได้อย่างไรในเมื่อท่านไปรับ "ผีเข้าตัว" บางขันธ์มีเป็นสิบวิญญาณ ขึ้นอยู่กับสำนักไหน สำนักที่เป็นเสือสมิง บรรดาที่ถูกหลอกรับขันธ์มาก็เป็นวิญาณเสือสมิงเข้าตัวทั้งนั้น ที่ผ่านมาปราบไปเป็นจำนวนมาก

ร่างทรงต่างๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผี เข้าใจว่าเป็นเทพเจ้า อ้างตนเป็นเทพองค์ใหญ่ๆ เพราะถ้าบอกว่าเป็นผีนายมั่ง นางมี.. ก็คงไม่มีใครไปเชื่อถือ เลยอ้างตนเป็นพระแม่อุมาบ้าง ,เสด็จพ่อ ร.5 บ้าง (ท่านไม่มาดูหมอดูดวง หรือมายุ่งกับเรื่องผัวเมีย ทำนายทายทักอะไรเพระท่านไม่มีหน้าที่ เพราะเทพที่มีหน้าที่เค้ามีอยู่),บ้างก็อ้างเป็นกรมหลวงชุมพรบ้าง พระเจ้าตาก ก็วนเวียนกันอยู่แค่นี้ เพราะกษัตริย์ไทยดังๆ อยู่ไม่กี่องค์ หากินง่าย ยิ่งเป็น ร.5 มากที่สุดเพราะคนนับถือ เยอะ ..

ในข้อเท็จจริงแล้ว ใครทรงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านแจ้งความเรียกตำรวจจับได้เลย ..หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กฏหมายเค้ามีอยู่ บางคนก็ทรง ร8..!!

ผู้ ที่รับขันธ์มา ส่วนใหญ่แล้วชีวิตอัปปาง วิบัติ ลมสลายเกือบทุกรายไป ที่ยังไม่ออกเหตุก็เพราะบุญยังเยอะ สุดท้ายจบลงด้วย โรคมะเร็ง เบาหวาน อัมพฤกา อัมพาต หรืออุบัติเหตุ แทบทั้งสิ้น รวมถึงเจ้าของตำหนักคนทรงก็ตามมักจะจบชีวิตด้วยเหตุนี้ โดนกัดกินอวัยวะภายในเจ็บป่วยในบั้นปลายชีวิต...บ้างก็ล้มตายด้วยอุบัติเหตุ ..ไปเลย

ที่ผ่านมามีผู้ทนทุกข์ทรมานถอนขันธ์เป็นจำนวนมาก บางคนหมดเงินไปเป็นล้านๆ บางคนก็ถอนเองส่วนใหญ่จะทำไม่ถูกวิธี ..ทิ้งขันธ์ไป แต่วิญญาณในขันธ์นั้นยังเกาะอยู่เหมือนเดิม..!! เหลือแต่ขันเปล่าๆ ก็ยังมีแฝงอยู่ดี

งานพิธีไหว้ครูต่างๆ เป็นการเต้นรำ บรรดาผีต่างๆ แต่งตัวมาเลียนแบบเทพ กันสนุกสนาน ท่านสังเกตุเกิดว่า พระแม่กวนอิมต้องมาฟ้อนรำกับกุมาร หรือพระศิวะ กุมารต่างๆ หรือมหาเทพอย่างพระแม่อุมา จะมาฟ้อนเต้นแร้งเต้นกากับผี หรือกุมารต่างๆ อย่างนั้นหรือ..!!

เทพต่างๆ ล้วนอิ่มทิพย์ ไม่ต้องมาทรมานสังขารมนุษย์(มันเป็นบาป) นั่งสั่น หงายท้องหรือดูดบุหรี่ทีละ 5 มวน อันนั้นมันผีชัดๆ หรือพูดจาด่าทอสาปแช่งมนุษย์บรรดาเทพต่างๆ ไม่เสี่ยงกับการจกสววรค์ หากมีจิตใจไม่ดี หรือไม่มีศีลธรรมคงไม่เป็นเทพหรอกครับ. ยกเว้นพวกผี..ชั้นต่ำเท่านั้น..!!

บางตำหนักทรงก็เป็นผี ชั้นดีต้องการสร้างบุญจริงๆ ไม่เก็บเงินใดๆ เอาไปทำบุญ แต่หากให้รับขันธ์ ก็ผิดอีกนั้นแหละ ไปเอาพวกผีด้วยกันมาใส่ตัวชาวบ้านให้ได้รับวามเดือดร้อนกัน...!!

บางท่านไม่ได้รับขันธ์ แค่นั่งสมาธิก็โดนสัมภเวสีเข้าแทรก มีอาการแปลกๆ ดังที่เห็นได้ในงานพิธีสวดพานยักษ์ใหญ่ ของต่างๆ ที่ขี้นให้เห็นเพียงพรมน้ำมนต์ก็สงบลง แต่ไม่ออกนะครับ...ผลสุดท้าย วัดนั้นเพียงเอาเรื่องนี้มาทำมาหากิน ขายวัตถุมงคล

มนุษย์เรา ไม่เข้าใจเรื่องของกฏแห่งกรรม ไปเอาวัตถุมงคลมาคุ้ม ถึงได้ผีเข้ากันมากมาย ใครรู้ตัวก่อนก็เป็นบุญเทวดาพามาให้เจอ..

ความเข้าใจกรณีการรับขันธ์

ขันธ์ 5 ของมนุษย์นั้น ประกอบไปด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์

เทพ เป็นจิตวิญญาณ มีขันธ์เพียง 3 ขันธ์ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ จึงต้องอาศัยการแต่งขันธ์ 5 ของมนุษย์ ที่จัดตบแต่งขึ้นมาเป็นตัวแทนของตน ว่าได้ยอมรับเป็นร่างให้กับเทพองค์นั้น ๆ และยังหมายถึงข้อตกลง ระหว่างเทพกับมนุษย์ผู้ตกลงปลงใจยอมรับหน้าที่เป็นสังขารขันธ์ให้กับองค์เทพ ผู้นั้นไว้ใช้ร่างของตนสร้างบารมี โดยมีองค์เทพผู้ทำพิธีมอบขันธ์ให้เป็นสักขีพยาน หากแม้นมีใครระหว่างเทพกับมนุษย์มีการผิดข้อตกลง ก็ต้องเดือดร้อนถึงผู้เป็นครูที่เป็นสักขีพยาน จะต้องทำหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือนผู้กระทำผิดต่อไป

ความหมายของขันธ์ต่างๆ

ขันธ์ 5 หมายถึงการรับศีล 5 มาปฏิบัติโดยเคร่งครัด ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเผลอไปรับเข้า มิฉะนั้นอาจถูกลงโทษได้

ขันธ์ 8 หมายถึงการรับศีล 8 ซึ่งจะต้องประพฤติพรหมจรรย์ ห้ามร่วมหลับนอนฉันท์สามีภรรยา งดเว้นอาหารมื้อเย็น สวดมนต์ไหว้พระ เจริญสมาธิภาวนา เหมือนการถือศีลบวชพราหมณ์นั่นเอง

ขันธ์ 9 หมายถึงการรับศีลอุโบสถ ถือศีล 8 เคร่งครัด เด็ดดอกไม้ก็ไม่ได้ ดมดอกไม้หรือเครื่องหอมก็ไม่ได้ กินแต่อาหารเจ หรือมังสวิรัติ

ขันธ์ 10 หมายถึงศีลของสามเณรหรือสามเณรี ก็เท่ากับการถือบวชโดยถือสิกขาบท 10 ประการ

ขันธ์ 16 หมายถึงศีลของนักบวช 227 ที่มุ่งการบำเพ็ญสมาธิภาวนา กินอาหารมือเดียว งดเว้นของสดของคาว กินแต่ผลไม้ เผือกมัน ไม่เที่ยวเดินพลุกพล่าน อยู่ด้วยการสำรวมปฏิบัติ นั่งสมาธิเป็นที่เป็นทาง แทบจะทำตัวเหมือนนักบวช เพียงแต่เป็นการบวชใจไม่ได้บวชกายเท่านั้น

ดังนั้นหากถือปฏิบัติตามที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ ก็จงอย่าได้รับเลย หากแม้นมีใครแนะนำให้รับก็จงพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อน เพราะการรับขันธ์นั้นไม่ใช่เพียงนำมาบูชาเท่านั้น จะต้องปฏิบัติเป็นประจำด้วยก็คือ การสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงองค์เทพที่รับมาด้วยจึงจะถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วอาจสร้างปัญหาให้เดือดร้อนได้ เพราะถือว่าผิดสัจจะที่รับมา

ลักษณะของชั้นเทพ

ลักษณะของจิตวิญญาณในระดับต่าง ๆ ที่ลงมาประทับทรงหรือเข้าทรงมนุษย์นั้น หากเรารู้จักสังเกตุให้ดี ก็พอจะแยกได้ว่า เป็นเทพหรือเป็นผี โดยอาศัยหลักพิจารณาโดยสังเขปดังนี้

1. ประทับทรงจากส่วนล่าง จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากปลายเท้าขึ้นมา มักจะเป็นพวก สัมภเวสี หรือ วิญญาณมนุษย์ที่ตายไปแล้ว

2. ประทับทรงจากด้านหลัง จิตวิญญาณใดประทับทรงจากด้านหลัง มักจะเป็นวิญญาณทั่วไปที่มีฤทธิ์อำนาจ ซึ่งมักจะเรียกขานกันว่า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าปู่ ฯลฯ

3. ประทับทรงจากด้านหน้า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากด้านหน้า มักจะเป็นวิญญาณของมนุษย์ที่ไปเกิดเป็น เทวดาชั้นจาตุมฯ ที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์

4. ประทับทรงจากทางบ่า จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากทางบ่า มักจะเป็นเทพหรือดาบสที่มีฤทธิ์ ในระดับกลาง ๆ

5. ประทับทรงจากกลางกระหม่อม จิตวิญญาณใดที่ประทับทรงจากส่วนศรีษะหรือกระหม่อม มักจะเป็นเทพในระดับสูง

คำแนะนำ

ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะมีองค์หรือไม่ก็ตาม ถ้าท่านหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาถึงครูบาอาจารย์ องค์เทพเทวาที่คุ้มครองรักษาตนเอง ก็น่าจะเพียงพอ เพราะการที่เทพมาอยู่กับเราก็ด้วยเหตุที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คือปรารถนาจะได้ร่วมสร้างบารมี และช่วยเหลือผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน พาร่างสร้างบารมีทำบุญไหว้พระ สร้างแต่กรรมดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

ถ้าเราทำได้ดังนี้ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปรับขันธ์ เทพเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา ประกอบด้วย หิริโอตตัปปะ คือความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ย่อมไม่สร้างปัญหาใด ๆ ให้กับร่างที่จะมาอยู่ด้วย เพราะท่านกลัวบาป การที่จะทำให้เจ็บป่วยหนักหนาแสนสาหัส หรือลงโทษอะไรหนักหนาคงไม่มี นอกจากช่วยเหลือเท่านั้น แต่ที่มันเจ็บป่วยหรือมีปัญหาในหน้าที่การงาน การเงิน จนล้มละลาย มันเป็นเรื่องของวิบากกรรมที่ใครจะเข้าไปแก้ไขได้ นอกจากช่วยประคับประคองหรือดลจิตดลใจให้ไปหาผู้ที่สามารถแก้ไขวิบากรรมส่วนนี้ได้


ข้อสังเกต

มนุษย์ผู้ที่มีองค์เทพคุ้มครองอยู่นั้นสังเกตได้ด้วยตนเองไม่ยาก

1. มึนศรีษะข้างเดียวเป็นประจำ บางทีทางการแพทย์ว่าเป็น “ ไมเกรน ”

2. หนักต้นคอ บางครั้งหนักบ่าสองข้างเหมือนมีใครมาขี่คอ บางทีขับรถอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกหนักบ่า

3. แน่นหน้าอกเป็นบางครั้ง เหมือนคนหายใจไม่อิ่ม บางคนเป็นบ่อย จนหมอว่าเป็นโรคหัวใจ

4. ฝันแม่นยำ มีลางสังหรณ์แม่นยำ บางทีเรียกสัมผัสที่หก หรือ “ ซิกเซ้นท์ ”

5. ชอบฝันหรือตีเป็นตัวเลข เสี่ยงโชคได้ใกล้เคียง บางที ผิดแต้มเดียว กลับบนกลับล่าง กลับหน้ากลับหลัง ซื้อทีไรก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาเป็นประจำ แต่ถ้าไม่ซื้อเที่ยวบอกใคร เขาก็จะถูก

6. บางครั้งหูจะได้ยินเสียงเรียกชื่อเบา ๆ เหมือนเสียงกระซิบก็มี เสียงดังก้องในหู ก็มี

7. ไปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือ มีอะไรที่ลี้ลับ จะรับรู้โดยการสัมผัส ขนลุกชันเย็นซ่าไปทั้งตัว

8. บางครั้งสวดมนต์เป็นภาษาบาลีอยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนเป็นภาษาอื่นรัวเร็วขึ้นมา

9. หากนั่งสมาธิจะได้หูทิพย์ ตาทิพย์ เร็วกว่าคนทั่วไป

ดังนั้นอาการบางอย่างหาหมอก็แล้ว กินยาก็แล้ว มันไม่หาย ก็ให้ สวดมนต์นั่งสมาธิตามที่ว่าแล้วแผ่เมตตาบ่อย ๆ ทุกอย่างมันจะหายไปเอง เสี่ยงโชคลาภก็จะได้ เพราะบารมีที่ทำนี่แหละ แต่บางอย่างก็อาจจะเกิดจากสัมภเวสีได้เช่นกัน

1. ปวดศรีษะเป็นประจำ บางครั้งปวดมากจนทนไม่ไหว หมอว่าเป็นความดันบ้างก็แล้วแต่ ก็ควรตรวจเช็คแก้ไข เพราะอาจถูกสัมภเวสีเกาะอยู่ในศรีษะได้

2. ปวดไหล่เป็นประจำ หมอว่าเป็นเส้นเอ็นอักเสบ กินยาทายาก็แล้ว มันไม่หาย ตึงไปหมด ถือว่าผิดปกติ

3. มือเท้าชาเป็นซีก จากไหล่ หรือตะโพก หัวเข่าก็ตาม

4. แน่นหน้าอกมากผิดปกติ

5. ป วดบริเวณกระเบนเหน็บ บางที่การแพทย์ระบุว่า หมอนรองกระดูกทับเส้น เว้นแต่กรณีการเกิดอุบัติเหตุ ลื่นหกล้มจนกระแทกพื้นอย่างแรง นั่นก็จะต้องพิจารณารายละเอียดเป็นกรณีไป

อาการเหล่านี้อาจไม่เกี่ยวกับองค์เทพ แต่เป็นการแทรกซ้อนจากวิญญาณเร่ร่อนหรือสัมภเวสีที่ไม่มีที่อยู่นั่นเอง หากรักษาแล้วแก้ไขแล้วไม่ดีขึ้น ก็ลองติดต่อขอรับการสงเคราะห์หรือปรึกษากับ หลวงพ่อวัชระ วัดถ้ำแฝด กาญจนบุรี เพราะท่านอาจจะพอหาทางแก้ไขให้ได้

ดังนั้นการที่ได้กล่าวพาดพิงถึง การรับขันธ์หรือองค์เทพ ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ใช้วิจารณญาณในการแก้ไขตนเองให้ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้เงินแก้ไข เพราะวิบากกรรมเป็นของมนุษย์ที่กระทำกันมา ครูบาอาจารย์องค์เทพก็ตาม ก็ไม่อาจฝืนกฏแห่งกรรมได้ แต่อาจชี้ทางแก้ไขได้ เพราะการเจ็บป่วยหรือปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้ามนุษย์นั้น มีกรรมเป็นต้นเหตุที่สำคัญ การแก้ไขเรามาแก้กันที่ปลายเหตุมันก็ไม่จบ ต้องรู้จักต้นเหตุ เพราะเหตุเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น

ธนากร ปุสสวงษ์

หากมีข้อสงสัยประการใด สอบถาม 086-8228882