วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

สัจธรรมบางอย่าง

1. คู่ต่อสู้ ศัตรูที่เราแสนเกลียด บางครั้งเราต้องกอดมันไว้ ไม่ใช่เพราะรักก็แค่..หนีบหมัด ไม่ให้มันต่อยเราถนัดเท่านั้นเอง

2. ไม่มีอะไรบังคับให้มนุษย์อ้าปากค้าง ได้นานเท่ากับหมอฟัน

3. ผู้หญิงดีๆ หาง่าย ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความดีพอที่จะดึงดูดเขามารึเปล่า

4. ถ้าเราสับสนในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ว่าเราควรจะทำอะไรต่อไป ให้ถามตัวเองว่า...สิ่งที่เราทำอยู่มันทำให้ชีวิตเราดีขึ้นรึเปล่า

5. เมื่อเราโกรธ เกลียดใครสักคนมากๆ ให้บอกตัวเราเองว่า อายุเราสั้นเกินกว่าจะอยู่ด้วยความเกลียดชัง

6. ทุกครั้งที่ดูหนังในต่างประเทศ จะรู้สึกเหมือนขาดทุน เพราะเราไม่ได้ยืนถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ และเพลงสรรเสริญพระบารมี

7. วิธีเดียวที่จะแก้แค้นพวกอิจฉาริษยาได้คือ ทำงานดีๆประสบความสำเร็จยิ่งๆขึ้นไป ไฟอิจฉาจะยิ่งเพิ่มในใจเขา จนก่อสารมะเร็งขึ้นมาฆ่าเขาเอง

8. เอดส์ป้องกันได้ ถ้าไม่ไปตรวจ

9. ประโยชน์ของการอกหัก ทำให้ฟังเพลงเพราะขึ้น

10. ประโยชน์ของความโกรธ ทำให้เคี้ยวมะม่วงได้ละเอียดขึ้น

11. อย่าเชื่อ...ถ้าใครบอกว่าเขาไม่เคยลืมตัว ถ้าคน ๆ นั้นยังเคยลืมกินยาหลังอาหาร

12. ชีวิตคู่ คือการยอมรับความเฮงซวยของฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด

13. เพลงอะไรก็ไม่เพราะ เมื่อเราดูดฝุ่น

10 ทะลึ่งคลายเคียด

1. เซ็กส์ คือ คณิตศาสตร์: เอา 2 เรือนร่างบวกกัน
ลบออกด้วยเสื้อผ้าหารด้วยท่อนขาแล้วคูณ ( ด้วยอะไรก็ไม่บอก) !!!

2. เด็กหญิง : "แม่คะ หนูรู้แล้วว่า ***จู๋ของเด็กข้างบ้านน่ะเหมือนเมล็ดถั่วเลย"
แม่ : "หนูหมายถึงว่า มันเล็ก ใช่มั๊ยจ๊ะ"
เด็กหญิง : "ไม่ค่ะแม่
มันเค็ม !!!"

3. คู่แต่งงานใหม่ๆ มักมีความสุขกับทุกสิ่ง (whole thing)
เขามีความสุขกับรู(hole) และ เธอมีความสุขกับสิ่ง ( thing)

4. สถิติล่าสุด... ผู้ชายทำอะไรหลังมีเพศ สัมพันธ์ ?
2% กิน , 3% สูบบุหรี่ , 4% อาบน้ำ , 5% หลับ , 86%
ลุกขึ้นแต่งตัวและกลับบ้านไปหาเมียหลวง

5. " จูบ " คืออะไร?
คือ การเตรียมตัวของช่วงบนเพื่อเตรียมการรุกรานของช่วงล่าง
ซึ่งก่อให้เกิดการแทงทะลุและการเร่งเร้า
ซึ่งก่อกำเนิดทายาทรุ่นต่อไป

6. ในรถไฟฟ้า ผู้ชายคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กทารก 3 คน
ผู้หญิงที่นั่งข้างถามว่า "นั่นลูกคุณเหรอ ?"
ผู้ชายตอบว่า "ไม่ใช่
ผมทำงานที่บริษัทผลิตถุงยางอนามัย
และเด็กทารกพวกนี้คือคำร้องเรียน"

7. ห้าคำโกหกยอดฮิตของสุภาพสตรี
5.) ฉันเป็นสาวบริสุทธิ์
4.) โอว์ มัน...ใหญ่จัง
3.) ฉันทำอย่างนั้นกับเพื่อนสนิทไม่ได้หรอก
2.) ฉันจะไม่เพิ่มน้ำหนักหลังจากแต่งงาน
1.) โอว์ จวนแล้ว...จวนแล้ว...

8. ทำไม***จู๋ถึงดีกว่าบัตรเครดิต ?
1.) หลังจากใช้ไปแล้ว มันรีชารจ์ได้ด้วยตัวมันเอง
2.) มันเป็นที่ยอมรับทั่วโลก
3.) ภรรยาคุณสามารถใช้ได้บ่อยเท่าที่เธอต้องการ

9. ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปหาหญิงสาวในบาร์ แล้วพูดว่า
"คุณอยากเล่นกลมั๊ย" เธอถามว่า "อะไรเหรอ"
เขาเสนอ "ไปที่บ้านผม ติ๋วติ้วกัน แล้วคุณก็หายตัวไป!!!"

10. อะไรที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า "ประจำเดือน" ของผู้หญิงมากที่สุด?


ตอบ... "เงินเดือน" เพราะมันมาเดือนละครั้ง อยู่ครั้งละ 4-5 วัน

ถ้าเดือนไหนมันไม่มา... คุณเริ่มมีปัญหา XxXอิ อิ อิ

ศิลปะในการทำให้หลงรัก

หัวข้อเรื่องที่ผมจะคุยให้ฟังในตอนนี้ ผมแปลมาจาก ภาษาอังกฤษว่า THE ART OF SEDUCTION ซึ่งถ้าแปลตรงๆ แล้วก็คงจะต้องเป็น ศิลปะในการทำให้หลงรัก นั่นเอง ทำไมหนอ การที่จะให้ใคร มารักเราสักคน นี่ต้องใช้กลยุทธ์ อะไรด้วยหรือ? บางครั้งรักแท้ ก็ต้องการเวลานะครับ!!
กลยุทธ์ในการพิชิตรักนี่ ไม่ใช่กลยุทธ์ในการนำพาสาวขึ้นเตียงนอนนะครับ แต่ผมจะเขียนถึงกลยุทธ์ที่คุณผู้ชายจะหาผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตครับ คนที่จะเป็นแม่ของลูก และคนที่จะไหว้หลุมฝังศพคุณ ถ้าบังเอิญคุณ มีอันเป็นไปเสียก่อน ประเภทเจอกัน ชั่วค่ำคืนเดียวแล้วก็เป็นของกันและกันนั้น เขาไม่ได้เรียกว่า เนื้อคู่หรอกครับ จะเป็นก็แค่คู่นอนเท่านั้น.. และรับรองว่า ไม่ปลอดภัยอย่างเด็ดขาด
รักแท้ต้องการเวลา ในการพิสูจน์ใช่ไหมครับเพราะฉะนั้น กลยุทธ์แรกในการมัดใจสาว ก็คือ ความอดทน ความมานะพยายามเท่านั้น ที่จะทำให้คุณมัดใจสาวคนรักไว้ได้ ความมานะพยายามจะทำให้คุณ สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ไม่ว่าจะ พ่อตา แม่ยาย สุนัขเฝ้าบ้าน คนใช้ ฯลฯ แต่ถ้าพยายามอดทนแล้วความรักก็ไม่คืบหน้าไปสักที ลองพิจารณาให้ถ่องแท้ดูว่าเธอคนนั้นที่คุณหมายปอง มีคนรักอยู่หรือเปล่า, มีชายหนุ่มอีกคนที่อาจจะหล่อกว่า รวยกว่า หรือหนุ่มกว่าคุณมาจีบอยู่ จนกระทั่งเธอไม่มีคุณอยู่ในสายตาของเธอ, เธอสวยงามมากจนหลงตัวเอง ว่าไม่รู้จะเลือกใครดี เนื่องจากตอนนี้มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ และพ่อม่าย มารุมตอมอยู่เป็นสิบๆ คน, เพิ่งจะโดนผู้ชายคนหนึ่งทิ้งไปหมาดๆ และบาดแผลยังคงค้างคาอยู่ในดวงใจเธอ ฯลฯ ถ้าแบบนี้ รอหาใหม่ดีกว่าครับ กลยุทธ์ข้อที่ 2 ก็คือ ความกล้าหาญ อดทนอย่างเดียวไม่พอครับ ต้องมีความกล้าหาญที่จะแสดงให้เธอและใครๆ รอบๆ ข้างเธอรู้ด้วยว่าคุณรักเธอ และรักเธอชนิดที่ต้องการได้เธอมาเป็นคู่ชีวิต ไม่ใช่คู่นอน หรือทางผ่าน เรื่องนี้ต้องประกาศให้ศัตรูทั้งหลายที่จะมาขวางทางรักให้เข้าใจ แต่ต้องกล้าหาญให้ ถูกที่ ถูกเวลา และเหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่ใช่เดินเข้าไปในบ้านเธอ โดยไม่ดูตาม้าตาเรือว่าตอนนั้น คุณพ่อและคุณแม่เธอกำลังเถียงกันอยู่ แล้วดันไปบอกว่า คุณรักลูกสาว แบบนี้ถ้าไม่โดนกระโถนปาศีรษะ ก็อาจจะโดนสั่งให้สุนัขเฝ้าบ้านกัดเอา จนหนีกระเจิงออกจากบ้านไม่ทัน ปัญหาอยู่ที่ว่า คุณจะกล้าหาญพอที่จะบอกเธอว่า ผมรักคุณหรือไม่ และจะบอกที่ไหนเท่านั้น เรื่องนี้ควรจะต้องหาทางสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก เป็นส่วนตัว ในเวลาที่เธออารมณ์ดี และแน่นอน ไม่ใช่เวลาใกล้ช่วงนั้น ของรอบเดือนของเธอ ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่จะหงุดหงิดมาก แสดงให้เธอเห็นว่า คุณรักเธอเต็มร้อย รักเธอด้วยหัวใจ และแน่นอนว่าห้ามคิดเด็ดขาดเรื่องที่เธอจะรู้ว่าคุณรักเธอหรือไม่ ไม่ว่าคุณจะตามเฝ้ารับส่ง รับทำงานแทน ซื้อของขวัญให้เป็นประจำ แต่ถ้าคุณไม่มีความกล้าพอที่จะบอกว่า ผมรักคุณแล้ว ระวังสุนัขเถื่อนมาคาบไปรับประทานเสียนะครับ รักแล้วต้องบอกว่ารัก... ห้ามอ้ำอึ้งหรืออมพะนำไว้เด็ดขาด บอกเธอว่า รัก แล้ว เธอไม่รับรัก นั่นมันเรื่องของเธอแล้ว ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย... เพราะอกหักดีกว่ารักไม่เป็น คิดเสียว่า เธอไม่รับรักเรา อีกหน่อยเธอไปหลงเสน่ห์จิ้งจอกหนุ่มตัวอื่นแล้วโดนหลอก ก็จะคิดถึงเราเอง ...เพียงแต่เมื่อเธอหวนกลับมา คุณจะรับของใช้แล้วหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าคิดว่า บริสุทธิ์ใจ ดีกว่า บริสุทธิ์กาย ก็รับเอาไว้เถิดครับ ถ้าทำไม่ได้ ก็รับไว้เป็นเพื่อนต่อไป ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เรื่องนี้ใครๆ ก็พลาดกันได้จริงไหมครับ กลยุทธ์ที่สาม ความรักคือการให้ และยินดีที่จะได้รับตอบ จริงอยู่ ความรักคือการให้ แต่คุณผู้ชายทั้งหลายจะต้องเข้าใจไว้นะครับว่า ให้อย่างเดียวไม่ได้ โลกนี้ทุกอย่างจะต้องพอดี มี ให้ ก็ต้องมี รับ ถ้าขืนคุณมัวแต่หน้ามืดตามัว ให้เธออยู่ข้างเดียว เธอก็จะคิดว่าคุณน่ะเป็นหมูในอวยแล้วเธอก็ไป "ให้" คนอื่นแทน เห็นมาหลายรายแล้วนะครับ คุณให้เธอไป ถ้าเธอให้ตอบกลับมาบ้างนั้นแหละครับ แสดงว่ามีความก้าวหน้าแล้ว แต่ถ้าให้ของขวัญแล้ว ให้ความรักแล้ว ให้ทุกอย่างแล้ว แต่เธอก็เฉย ผมว่าค่อยๆ ถอนตัวกลับมาก่อนดีกว่า ที่จะเสียใจในภายหลัง
และถ้าเธอให้อะไรคุณกลับคืนมาบ้าง ต้องแสดงความชื่นชม และยินดีที่ได้รับตอบนะครับ เพราะเมื่อมีมิตรจิตก็ต้องมีมิตรใจ คงไม่ต้องถึงขั้นที่ว่า ดีดีตอบ ชอบชอบแทน ร้ายร้ายแสน หรอกนะครับ และถ้าคุณเห็นว่า เธอคนนั้นที่คุณคิดจะรักหรือกำลังรักอยู่นั้น ด้อยคุณค่าเกินกว่าที่คุณจะเสียเวลาต่อไปแล้วละก็ วิธีการสลัดรักที่ดีที่สุดก็คือ ทำให้เสมือนว่าเธอเป็นคนทิ้งคุณไปหาคนใหม่โดยไม่ได้สนใจ กับความรักที่แสนจะบริสุทธิ์ของคุณเลยครับ ไปหลงเสน่ห์ความปากหวานของหนุ่มคนใหม่ โดยทิ้งคุณที่แสนจะเป็นคนดีในสายตาของคนรอบข้างไป กลยุทธ์ข้อที่สี่ คือ เปิดเผย ซื่อสัตย์ และจริงใจ ความเปิดเผย เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ผู้หญิงดีๆ ทั้งหลายพึงพอใจ มากกว่าความปากหวานแต่ลึกซึ้งซ่อนอะไรไว้ใต้รอยยิ้ม
นอกจากนี้ ความซื่อสัตย์อาจจะจริงที่ว่า รับประทานไม่ได้แต่เท่ นั้นเป็นสิ่งที่คนเราทุกคนควรจะมี แต่เชื่อเถิดครับว่าเมื่อถึงเวลาที่ผู้หญิง เขาจะตัดสินใจเลือกชาย 2 คนที่มารักเธอแล้ว เธอจะเลือกคนที่ซื่อสัตย์ก่อนเสมอ คุณจะจีบสาวให้สำเร็จ คุณต้องมีความจริงใจครับ ความจริงใจจะปรากฏอยู่บนสายตาของคุณทุกครั้งที่เจอะเจอกับเธอ แล้วเธอก็จะสัมผัสได้และรับทราบความรักที่จริงใจของคุณนั้น อาจารย์ที่ผมเคารพมากท่านหนึ่ง เคยสอนผมว่า จะทำอะไรให้สำเร็จอย่าลืมว่าต้องกระทำด้วยความ "จริงจัง จริงใจ ต่อเนื่อง เป็นระบบ และครบวงจร" ครับ พระคุณของท่านที่สอนผมในสูตรสำเร็จดังกล่าว ผมยังจำได้มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ท่าน ศ.น.พ.วิฑูร โอสถานนท์ เป็นคนสอนผมด้วยหลักการดังกล่าว และผมก็คิดว่าในการจะแสดงให้ใครสักคนหนึ่ง เห็นความจริงว่าเรารักเธอนั้น ต้องกระทำด้วยความจริงจังและจริงใจ ทั้งยังต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอ เป็นระเบียบระบบมีแบบแผนอย่างชัดเจน รวมทั้งต้องครบวงจรด้วย คุณผู้อ่านทั้งหลายเป็นเหมือนผมไหมครับ กลยุทธ์ที่ 5 คือ มีความเชื่อมั่นและมองโลกในแง่ดี ความเชื่อมั่น ในวิถีทางดำรงชีวิตในภายภาคหน้านั้น จะแสดงออกจากการพูดจา ท่วงท่าเดินเหิน การวางตัว น้ำเสียงที่มั่นใจ ฯลฯ คุณต้องฝึกแสดงให้เธอเห็นครับว่า คุณเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองในการที่จะนำพาชีวิตคู่ของคุณ และเธอไปให้ตลอดรอดฝั่ง อย่าลืมเสียนะครับว่า ผู้หญิงเกิดมาแสวงหา ความรัก ความอบอุ่น และความมั่นคง คุณให้เธอได้ทั้งสามอย่าง ถ้าเธอไม่เลือกคุณ ผมว่าก็คงจะตาบอดตาใส หรือไม่ก็กรรมยังบังตาอยู่แล้วละครับ การมองโลกในแง่ดี จะช่วยให้คุณเป็นคนมีความสุข และการเป็นคนมีความสุขของคุณ จะทำให้เธอเกิดความอบอุ่นเมื่อใกล้ชิด กลยุทธ์ข้อที่ 6 เอาชนะอุปสรรคด้วยใจสู้ การพิชิตรักมีมากมาย ล้วนแล้วแต่ทำให้คนเราคิดจะเอาชนะอุปสรรคแทบทั้งสิ้น... คุณไม่คิดจะเอาชนะบ้างหรืออย่างไร การเข็นครกขึ้นภูเขานั้น แม้ว่าจะเป็นงานที่ยากแสนเข็ญ แต่ถ้าคุณทำได้ วันที่คุณขึ้นไปยืนบนยอดเขา เพื่อประกาศถึงชัยชนะแห่งความพยายามของคุณ ก็คือวันที่คุณและเธอเข้าสู่ประตูวิวาห์นั่นเอง

ภาษากาย

1. รักษาความสะอาดของร่างกายให้ดี แม้ว่าเธอจะบอกว่า ไม่รังเกียจ โดยเฉพาะเจ้าน้องชายของคุณ ควรหมั่นล้างทำความสะอาดทุกเช้าเย็น
2. อย่าสรุปเองว่า สิ่งที่คุณปฏิบัติให้ผู้หญิงอื่นพึงพอใจมาแล้ว จะได้ผลเช่นเดียวกันกับสาวของคุณ ความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนนี้ขาดสะบั้นมามากมาย เพราะต่างฝ่ายต่างไม่พูดจาปรับความเข้าใจกัน ควรจะสื่อสารภาษารัก
3. ปลุกเร้าอารมณ์ของเธอด้วยการเปลื้องผ้าออกบ้างระหว่างทางไปห้องนอน และเมื่อจะขึ้นเตียง คุณก็ควรมีรอยยิ้มให้เธอบ้าง
4. ผู้หญิงชอบให้คุณปลดบราของเธอด้วยมือข้างเดียว ไม่ว่าจะเป็นแบบตะขอข้างหลังหรือข้างหน้าก็ตาม
5. ทดลองท่วงท่าลีลารักที่ไม่กดน้ำหนักที่เธอมากเกินไป อย่างการชันศอกขึ้นและดันตัวไปข้างหน้า ให้อาวุธประจำกายสัมผัสกับปุ่มคลิตอริส จะสร้างความหฤหรรษ์แก่เธอได้ดี
6. อย่าเปลื้องผ้าออกจนเปลือยเปล่า เหลือไว้บ้าง เช่น สวมทีเชิ้ตโดยไม่สวมกางเกง จะช่วยเร้าอารมณ์ของเธอได้ดี
7. ผู้หญิงลงความเห็นว่า ผู้ชายที่ไร้เสน่ห์คือ ชายที่ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะร่วมรักอย่างเดียว โดยไม่มีการเล้าโลมส่วนอื่นๆ ของเธอ นักรักที่ดีจึงต้องใส่ใจในความสุขของเธอ อย่าเอาแต่กอบโกยแต่ฝ่ายเดียว
8. การจูบควรทำอย่างนุ่มนวล สัมผัสริมฝีปากและฟันก่อน แล้วค่อยเลยไปยังปลายลิ้น
9. ผู้หญิงเกือบร้อยทั้งร้อยต้องการการโอบกอด สัมผัสจากชายคนรักมากกว่าการมีกิจกรรมทางเพศ และการไปถึงดวงดาว ควรดูจากภาษากายของเธอบ้าง ว่าต้องการอะไร
10. ต้องยอมรับว่า ผู้หญิงทุกคนไม่อาจถึงจุดสุดยอดจากการสอดใส่เพียงอย่างเดียว เธอต้องการให้คุณใช้อวัยวะส่วนอื่นสัมผัสกับจุดเร้าอารมณ์บนร่างของเธอด้วย
11. อย่าเร่งจังหวะโดยการกระแทกจนเธอรู้สึกเจ็บ เธออาจไม่กล้าขอให้คุณเบาลง แต่เธอจะเข็ดขยาด ลองควบคุมตัวเอง ผ่อนหนักผ่อนเบาแล้วคุณจะพบว่า เธอรับสัมผัสได้มากขึ้น
12. สิ่งที่ทรมานที่สุดของผู้หญิงก็คือ การที่คุณพยายามกระตุ้นปุ่มคลิตอริสเพื่อให้เธอถึงอีกครั้ง หลังจากผ่านครั้งแรกไปแล้ว หากเธอมีความต้องการอีกล่ะก็ เธอจะบอกให้คุณรู้เอง
13. ผู้หญิงหลายคนมีความรู้สึกขัดต่อท่วงท่าลีลาที่ไม่มาตรฐาน บางคนชอบ บางคนรังเกียจ ลองสังเกตท่าทีของเธอก่อน สบตาเธอบ้าง เพื่อสื่อความหมาย
14. ไม่มีตำราทางเพศเล่มใดระบุว่า การถึงจุดสุดยอดของผู้หญิงต้องมีความต่อเนื่อง เธออาจถึงได้หลังจากมีการพักยก
15. อย่าคิดว่า การร่วมรักในช่วงมีรอบเดือนเป็นสิ่งต้องห้าม ก่อนมีประจำเดือน ผู้หญิงจะมีความต้องการทางเพศสูงกว่าปกติ และมีถึง 15% ที่มีอารมณ์มากในช่วงรอบเดือน เตรียมผ้ายางปูบนที่นอนไว้ด้วยก็แล้วกัน เพื่อความสะอาด
16. ยามที่เธอกำลังอยู่ในอารมณ์สูงสุด บางคนอาจเปล่งวาจาหยาบคายออกมาหรือเสียงดัง เพื่อผ่อนคลายอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ คุณไม่ควรนำมาพูดหลังจากนั้น เพราะไม่ใช่เรื่องที่สุภาพบุรุษกระทำกัน
17. ผู้หญิงมากกว่าครึ่งชอบช่วยเหลือตัวเองต่อหน้าชายคนรัก เพราะเธอจะมีอารมณ์มากขึ้น เมื่อคุณจ้องมอง ซึ่งก็จะเป็นการเร้าอารมณ์ของคุณได้ดีด้วย
18. เมื่อเธอช่วยตัวเองนั้น ควรจะสังเกตและจำไว้ว่า เธอชอบให้สัมผัสตรงส่วนไหน แล้วก็ช่วยเธอในโอกาสต่อไป
19. ผู้หญิงเองก็ชอบดูคุณช่วยตัวเองเช่นกัน แต่ไม่ต้องแอบทำหรอก ปฏิบัติต่อหน้าเธอจะดีกว่า
20. การเล้าโลมมีความสำคัญมากกว่าการสอดใส่ อย่าคิดว่าเธอเป็นวัวเคยขาแล้วจะไม่เล้าโลม ยิ่งอยู่ด้วยกันมานาน รู้ไส้รู้พุง ยิ่งต้องปลุกเร้าอารมณ์กันนานขึ้น
21. ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องการให้มีการเล้าโลม กระตุ้นอารมณ์ประมาณ 15 นาที ก่อนการร่วมรัก
22. พบว่า เรื่องโหดร้าย น่ากลัวหรือหวาดเสียว สามารถเร้าอารมณ์เธอได้ แต่ไม่ใช่ทุกคน และไม่ใช่ในครั้งแรกๆ
23. หากเธอไม่ถึงจุดสุดยอดใน 10 นาทีแรกแล้วล่ะก็ เธอคงไม่ถึงแน่ในครั้งนั้น ลองเปลี่ยนวิธีอื่น ดีกว่าทู่ซี้ทำให้เธอเจ็บปวด
24. ลองร่วมรักในสถานที่แปลกใหม่บ้าง เช่น ในห้องครัว ห้องน้ำ สวนหลังบ้าน โรงรถ แต่ในรถมีผู้หญิงไม่มากนักที่ชื่นชอบ
25. ผู้หญิงส่วนใหญ่อยากรู้ว่า คุณมีรสนิยมแบบไหน แต่ไม่ใช่เรื่องพิสดารเกินมนุษย์จะกระทำ
26. คุณควรเป็นฝ่ายรับผิดชอบในการป้องกันการตั้งครรภ์ เช่น หลั่งภายนอกหรือใช้ถุงยางอนามัย การรอให้เธอเตือนหรือกระทำนั้น ถือเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง
27. ให้เธอมีความมั่นใจเรื่องการคุมกำเนิด จะทำให้เธอปล่อยใจไปกับเกมรักได้มากขึ้น
28. หากคุณเหนื่อย แต่เธอยังต้องการ ไม่ต้องฝืนตัวเองทำต่อ ใช้นิ้วหรือลิ้นสร้างความพอใจให้แทนก็ได้
29. ก่อนจะเล่าตำนานรักอันโชกโชนหรือสถิติคู่นอนของคุณ ลองตรวจดูก่อนว่า เธออยากรับรู้หรือไม่
30. การพูดคุยเป็นเรื่องดี ผู้หญิงเองก็ชอบ และช่วยให้สัมพันธภาพดีขึ้น
31. คุณควรเข้าใจว่า เป็นเพราะระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิง ทำให้เธอมีความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงได้ทุกวี่วัน สิ่งที่ดีคือ การร่วมรักระหว่างคุณกับเธอในแต่ละวันนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
32. หากคุณมีปัญหาทางเพศส่วนตัว เช่น หลั่งเร็ว ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อแก้ไข
33. หากมีปัญหากับเธอ ควรพูดคุยปรับความเข้าใจกัน ไม่ควรไปหาคนอื่น เพราะมีแต่จะทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โต
34. เธอพอใจที่จะออรัลเซ็กซ์ให้คุณ แต่ยังกังวลว่า ทำถูกวิธีหรือเปล่า ค่อยๆ แนะนำวิธีใช้ลิ้นให้เธอ อย่าดุหรือแสดงความไม่พอใจใดๆ
35. มีผู้หญิงเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่ชอบของใหญ่ อย่ากังวลกับขนาดของอาวุธประจำกาย
36. อย่าบังคับให้เธอกลืนกินน้ำรัก หากไม่ยินยอม แค่ให้เธอใช้ลิ้นและริมฝีปาก ด้วยวิธีที่คุณชอบก็พอแล้ว
37. ผู้หญิงส่วนใหญ่พึงพอใจที่คุณออรัลเซ็กซ์ให้เธอ แล้วเธอก็มักจะถึงดวงดาวด้วยวิธีนี้ด้วย
38. แม้ว่าเธอจะชอบที่คุณออรัลเซ็กซ์ให้ แต่จะเสียความรู้สึก หากคุณรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปล้างปาก หรือแปลงฟันหลังจากทำรักที่ว่านี้ เพราะมันหมายถึงคุณรังเกียจ หรือคิดว่าเธอสกปรก
39. ผู้หญิงส่วนมากคิดว่า ท่วงท่า 69 เป็นเรื่องความพอใจของแต่ละฝ่าย คือ คุณไม่อาจทำให้เธอพอใจได้ หากคุณยังเอาแต่ห่วงว่าเธอต้องทำให้คุณพอใจ
40. เซ็กซ์ที่ดีไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เธอต้องการรู้ว่า คุณชอบแบบไหน ไม่ชอบแบบไหน หากคุณไม่บอกก็สื่อด้วยท่าทีให้รู้ก็ได้
41. อย่าอิจฉาอุปกรณ์ช่วยเหลืออย่าง ไวเบรเตอร์ หากเธอใช้มันบ้าง เธอไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณรู้สึกว่า อาวุธของคุณมีประสิทธิภาพด้อยกว่าแท่งพลาสติกหรอก
42. ทำรักทางประตูหลังไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงหลายคนชื่นชอบ บางคนนึกหวาดเสียวแค่คิดถึงมัน ก่อนลองปฏิบัติการ ควรไถ่ถามเสียก่อน
43. หากคุณเกิดอารมณ์คึกคักขึ้นมากลางดึก ในขณะที่เธอนอนหลับใหลอยู่ข้างๆ อย่าจู่โจม ควรค่อยๆเล้าโลมให้เธอมีอารมณ์ที่จะตอบสนอง
44. หลังการร่วมรัก ควรกุมมือเธอไว้หรือสวมกอด ก่อนที่จะหลับไปพร้อมๆ กัน เธอจะพอใจมาก
45. ผู้หญิงส่วนมากต้องการมีเซ็กซ์มากขึ้นกว่าที่ได้รับอยู่ แต่ไม่รู้จะบอกอย่างไร
46. ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตร่วมกันสำหรับความคิดของผู้หญิง
47. จี สปอต คือ ปุ่มกระสันที่อยู่ด้านบนของผนังช่องคลอด ลึกเข้าไปประมาณ 1 นิ้ว หามันให้พบ แล้วค่อยๆ สัมผัสอย่างนุ่มนวล จะให้ความรู้สึกแก่เธอได้ดีกว่าคลิตอริสเสียอีก
48. หญิงสาวที่มีอายุส่วนใหญ่จะมีความชำนาญในเรื่องเพศมากกว่าสาวรุ่น
49. ภาษากายหรือวาจาที่ใช้สื่อสารในการร่วมรัก ควรเป็นที่รับรู้ระหว่างกันเท่านั้น
50. หากมีสาวหน้าใหม่มาเป็นคู่นอนที่คอนโดมิเนียมของคุณ ควรเอื้อเฟื้อเสื้อเชิ้ตสะอาด ให้เธอสวมหลังจากผ่านคืนอันสุขสม จะดีมาก

การแข่งขัน กับ การพักผ่อน

การแข่งขัน กับ การพักผ่อน

ยุคนี้คำว่า การแข่งขัน กำลังขึ้นสมอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องบอกว่า ต้องพร้อมสำหรับการแข่งขัน นี่อาจจะเว้นเฉพาะคนที่มีอาชีพเป็น ศิลปิน บริสุทธิ์ แบบ คุณถวัลย์ ดัชนี ที่ขายตัวเองได้ด้วยความยิ่งใหญ่บารมี ไม่ต้องรอให้อากู๋โปรโมตแบบศิลปินแกรมมี่
แต่หากเป็นคนธรรมดา ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มักจะต้องแข่งขันอยู่ดี บางคนแข่งแบบไม่ลืมหูลืมตา จนป่วยไปเลยก็มี หรือไม่ก็แข่งจนเหนื่อยตายไปก็มี เพราะว่าลืมพักผ่อน
ฝรั่งให้ความสำคัญกับการพักผ่อนอย่างมีวินัย เห็นได้จากการที่ผู้บริหารฝรั่งมีการลาหยุดกันได้เป็นเดือนๆ และเขาก็ใช้มันอย่างจริงจัง หายไปจากสำนักงานไปพักผ่อนกันจริงๆ
ตอนนี้เป็นยุคสื่อสารไร้พรมแดน มีการทำการศึกษาเรื่องการพักผ่อน ว่าการที่คนมีวิถีชีวิตเปลี่ยนไปโดยมีเครื่องมือสื่อสารและอำนวยความสะดวกมากขึ้นนั้น ได้พักผ่อนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนไหม
พูดถึงเรื่องนี้ก็แวบไปถึงเมื่อวันก่อนแวะเยี่ยมเพื่อน เธอเพิ่งซื้อเครื่องล้างจานมา หลังจากรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน จะช่วยเธอล้างถ้วยล้างจาน เธอก็บอกเอาไว้นั่น เดี๋ยวให้เครื่องมันจัดการ แล้วเราก็มานั่งคุยกันต่อ
คนอเมริกันเขาช่างทำการศึกษาทุกๆ เรื่องเอาไว้ ขณะนี้มีนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันสองคนทำวิจัยเรื่องการพักผ่อนของคนอเมริกันในยุคปัจจุบัน ผลสรุปออกมาว่าคนอเมริกันพักผ่อนมากขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์สองคนนี้คนหนึ่งทำงานอยู่ที่เฟด หรือ Federal Reserve Bank at Boston ซึ่งเป็นงานแบบเดียวกับที่ อลัน กรีนสแปน ทำ เพียงแต่อันนี้อยู่ที่บอสตัน อีกคนอยู่ที่ University of Chicago"s Graduate School of Business ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงทั้งคู่
วิธีทำวิจัยคล้ายกับที่บ้านเรามีการวิจัยตลาดกัน คือให้กลุ่มเป้าหมายเขียนไดอารี การวิจัยด้วยการเก็บข้อมูลจากไดอารีนี้มีมานานและเป็นที่นิยมกัน เขาให้กลุ่มเป้าหมายซึ่งในกรณีนี้ไม่ได้รวมพวกหลังเกษียณไว้บันทึกว่าตลอดวันทำอะไร ไม่ใช่แค่ที่ที่ทำงานแต่หลังและก่อนเข้าทำงานด้วย (ตอนหลับคงไม่ต้องบันทึกว่าฝันว่าอะไร มากไป)
แล้วเขาก็แบ่งวิธีวัดการพักผ่อนออกเป็น 4 แบบ อันที่ตีวงแคบที่สุดรวมถึงกิจกรรมอะไรก็ตามที่คนถือว่าเป็นการผ่อนคลายหรือสนุกสนาน ส่วนอันที่กว้างออกไปก็หมายถึงอะไรก็ตามที่ทำแล้วไม่ได้รับค่าจ้าง งานบ้าน หรือการวิ่งออกไปทำธุระ
เขาบอกว่าสี่สิบปีที่ผ่านมานี่คนอเมริกันพักผ่อนมากขึ้น 4-8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถ้าหากเทียบจากว่าทำงานกันอาทิตย์ละ 40 ชั่วโมง ก็เท่ากับได้เวลาพักมากขึ้นถึง 5-10 สัปดาห์ต่อปี
ที่น่าสนใจก็คือคนอเมริกันทั้งเพศหญิงและชาย ทั้งการศึกษาสูงและน้อย แต่งงานหรือเป็นโสด มีลูกหรือไม่มี ต่างพักผ่อนมากขึ้นทั้งนั้น และที่แปลกก็คือคนที่การศึกษาน้อยแต่มีงานทำพักผ่อนดีกว่าคนที่รวยและมีงานดีๆ
ข้อสังเกตอีกอันหนึ่งก็คือเมื่อเปรียบเทียบคนอเมริกันกับคนยุโรปในประเทศที่ร่ำรวย คนอเมริกันก็ยังทำงานในสำนักงานยาวนานกว่าคนยุโรป เพราะว่าตัวเลขชั่วโมงทำงานของคนยุโรปลดลงนั่นเอง
ทีนี้ต้องหันมาดูว่าทำไมท่านนักวิจัยทั้งสองจึงร่วมสรุปกันสรุปว่าคนอเมริกันพักผ่อนมากขึ้น อันนี้มันขึ้นอยู่กับคำจำกัดความของทั้งสองคนว่าอะไรที่เป็นการทำงาน อะไรที่เป็นการพักผ่อน และข้อมูลที่ได้มาเป็นแบบไหน
ทั้งสองบอกว่าการเก็บข้อมูลของทางราชการซึ่งเก็บจากเฉพาะที่ทำงานนั้นไม่ถูกต้อง อันนั้นเหมาะกับยุคที่คนทำงานกันในโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานล้วนๆ เดี๋ยวนี้คนทำงานที่บ้านก็มี ทำงานอิสระก็มี แล้วเขาก็ถือว่าการจับจ่ายซื้อของ การเตรียมอาหารให้ตัวเองและครอบครัว ออกไปทำธุระ และทำงานบ้าน พวกนี้ก็คืองานเหมือนกัน งานพวกนี้แหละหนักเท่ากับงานสำนักงานเลยทีเดียว โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่ต้องดูแลลูกด้วยทำงานนอกบ้านด้วย หนักหยอกใคร ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ชายไทยส่วนใหญ่จะเห็นว่างานบ้านนั่นก็งานนะคะ
ญาติของผู้เขียนคนหนึ่งมีลูกสองคน เธอชอบมาทำงานที่บริษัทมาก เพราะเห็นว่างานบริษัทสบายกว่าการเลี้ยงดูลูกสองคนที่บ้าน ส่วนผู้เขียนนั้นก็เห็นว่างานที่บริษัทหนักมาก แต่งานบ้านเป็นเรื่องเบาและสนุก ไม่ว่าจะเป็นซักผ้า ทำกับข้าว จัดบ้าน รดน้ำต้นไม้ หรือแม้กระทั่งหาเห็บให้สุนัข งานพวกนี้ถ้าในสายตาของนักวิจัยทั้งสองก็คงเป็นงานเหมือนกันนะคะ
ในงานวิจัยชิ้นนี้ เขาบอกว่าคนอเมริกันทำงานน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นงานที่ได้เงินหรืองานบ้าน ทั้งนี้เพราะมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากขึ้น มีเดลิเวอรี่มากขึ้น มีบริการอื่นๆ สำหรับชีวิตมากขึ้น เช่น ออนไลน์ช็อปปิ้ง ถ้าในเวอร์ชั่นไทยก็คงบอกว่า มีอาหารสำเร็จรูปขายตามหัวมุมถนนต่างๆ (สกปรก แต่สะดวก ทำไงได้) มากขึ้น อาหารถุงพลาสติค อาหารกล่อง แม้แต่โอเลี้ยงกาแฟเย็นถุงพลาสติค ยังพัฒนาเป็นแก้วพลาสติค บางรถเข็นยังสิบบาทเท่าเดิม

แม่บ้านทั้งหลายก็ไปทำงานหาเงินได้มากขึ้น
การเก็บข้อมูลด้วยไดอะรี่แบบนี้ไม่เฉพาะแต่อเมริกาที่ทำ แต่ออสเตรเลีย และประเทศในยุโรปหลายประเทศก็ทำกัน สำนักงานสถิติแห่งชาติของไทยจะทำไหมคะ ก่อนทำก็ต้องล้างสมองคนไทยก่อนนะคะว่าต้องบันทึกอย่างซื่อตรง ไม่ใช่ผักชีโรยหน้า หรือแต่งข้อมุลเพื่อให้ตัวเองดูดี ถึงจะเอาไปใช้ได้จริง
ถามว่าคนอเมริกันคิดยังไงกับผลวิจัยอันนี้ ถ้าคนที่รายได้น้อยหน่อยอาจจะบอกว่า เอ เห็นท่าเราจะต้องทำงานมากขึ้น แต่สำหรับคนอเมริกันส่วนใหญ่ดูเหมือนว่าจะพอใจที่ได้พักผ่อนมากขึ้น
และที่สำคัญมันหมายถึงว่าการทำงานน้อยลงแต่รายได้ไม่ได้ลดลงนั้นคือ เวลาของเขามี (มูล) ค่ามากขึ้นนั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552

อุทาหรณ์ นักเที่ยว ที่ควรรู้

ดิฉันเคยเป็นผู้หญิงบริการทางเพศมาก่อน ขอให้คำแนะนำกับคุณ ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ในสังคมบ้าง

ดิฉันทำงานอาบ อบ นวด แห่งหนึ่งในกรุงเทพ นี่ค่ะ ปัจจุบันอายุ 30 เศษแล้ว เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ค่าตัวจริง ๆ ได้ต่อหัว ๆ ละ 300 กว่าบาท ถึง 500 บาท เชื่อมั้ยคะ ต้องอาบน้ำให้แขก โดนทั้งเลียของผู้ชาย โดนประตูหน้า ประตูหลัง เพื่อแลกกับเงินแค่นี้จริง ๆค่ะ ด้วยการคัดเลือก ดิฉัน ได้เบอร์ตอง ซึ่งต้องรับงานมากกว่ารายอื่น ๆ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาขณะนั้นสวยไม่แพ้ใครค่ะ เวลาเดินถนน มีชายหนุ่มชายแก่ หญิงสาว มองเหลียวหลัง ไม่ได้แต่งตัวหวือหวานะคะ แต่งกายเรียบ ๆ แต่หน้าอกค่อนข้างชันและใหญ่ ใครจะคิดล่ะคะว่า ทำให้ผู้ชายทั้งคน ได้เงินเพียงแค่นั้นต่อหัว วันหนึ่งรับงานไม่ต่ำกว่า 5 คนขึ้นไป เริ่มงานบ่ายโมง เลิกงานประมาณ 5 ทุ่ม หนึ่งเดือนหยุดประมาณ 4-5 วัน แล้วแต่เลขท้ายเราลงตรงกับวันไหน

ผู้ที่ใช้บริการ ไม่เลือกวัยค่ะมีทั้งสุภาพ หยาบคาย และนักบุญ เคยถูกคนเมาลวนลามไม่ใส่ถุงยาง ตัวใหญ่ บังคับทุกอย่าง ไม่ฟังใคร แขกพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแขกของเจ้าของอาบ อบ นวด ทำให้เราไม่กล้าฟ้อง ต้องก้มหน้าทำด้วยความขมขื่น ไม่ต้องบอกนะคะ ว่าทำไมไม่เลือกเดินทางอื่น มันไม่พอกินค่ะ แล้วดิฉันก็เคยโดนข่มขืนหมู่มาแล้ว ไม่มีใครตามคดีช่วยดิฉันได้ เลยคิดประชดตัวเองด้วยการทำงานนี้ซะเลย แต่ก็ไม่ได้สบายดังที่คิดนัก

ต่อมามีการตรวจโรค ซึ่งมีเป็นประจำอยู่แล้ว ดิฉันติดเอดส์ อยู่ในขั้นแรก ๆ จึงต้องหยุดงานและรักษาตัวเรื่อยมา งดเหล้า งดบุหรี่ ร่างกายเริ่มอ่อนแอลงทุกวัน ไปหาหมอ ได้รับคำแนะนำให้เข้าโครงการฟรี แต่ต้องดูแลตัวเอง ทุกเดือนต้องไปพบหมอ ได้รับยาฟรี ในระยะปีกว่าที่รับยา ผิวพรรณเริ่มแห้ง มีสะเก็ด และดำคล้ำ จึงเปลี่ยนยาและผิวพรรณก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติ มีข้อเสียคือ แขน ขา ก้น จะเล็กลีบ ต้องทานยาวิตามินช่วย ซึ่งเราต้องออกเงินซื้อเองเดือนละ 1000 กว่าบาท เงินสะสมก็ร่อยหรอลงไป จึงคิดเรียนและหางานทำ แต่ก็ยังมีแขกบางคนไม่รู้ แวะเวียนมาใช้บริการที่ห้องบ่อย ๆ มีรายได้จากการขายตัวเดือนละ 2-3 หมื่นบาท ก็อยู่ได้ แต่แขกพิเศษที่แวะเวียนมา จะทำตัวสนิทสนมมากจนเกินไป ไม่ยอมสวมถุงยาง ดิฉันก็ไม่กล้าบอกว่าเป็นอะไร ในเมื่อห้ามไม่ฟังก็ต้องยอมให้แต่โดยดี แต่ดิฉันมีความไม่สบายใจมาก ๆ เวลาผ่านไป 3-4 เดือน ต้องคอยหนีย้ายหอพัก เพราะหากเขารู้ว่าเป็นโรค อาจจะคิดว่าติดกับดิฉันก็ได้ หรือพฤฒิกรรมเขาอาจจะติดกับที่อื่น ๆ ก็ได้ เพราะบางคนในระยะที่ทำงาน นวด อยู่นั้น เขาเป็นโรคแล้วก็เปลี่ยนที่มำงานไปเรื่อย ๆ หากแขกต้องการไม่สวมถุงยาง เขาจะตามใจทันที เขาสมน้ำหน้าที่ไม่ระวังเอง ทุกคนที่เที่ยวต้องระวังนะคะเรื่องจริงทีเดียว ส่วนติฉันก็เดือดร้อนต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ แขกที่สวมถุง ดิฉันก็ให้ที่อยู่ใหม่ และให้หาแขกหรือเพื่อนมาเพิ่ม ทำให้รายได้อยู่ในระดับเดิม แต่ในระยะหลัง ๆคุณภาพชีวิตของดิฉันดีขึ้น สุขภาพดีจนเกือบปกติ รับแขกได้มากและแขกก็สวมถุงยางทุกคนทุกครั้ง ยกเว้น

แขกใหม่ ที่เพื่อนแขกแนะนำมา ซึ่งใช้บริการดิฉันมาเกือบครึ่งปีแล้วนัดดิฉันไปเที่ยวตากอากาศชายทะเลที่ระยอง บอกว่าจะมีเพื่อนอีก3 คนไปด้วย ให้ราคาดี ดิฉันจึงไปกับเขา เขาจะให้ดิฉันดื่มเหล้า ดิฉันก็ไม่ดื่ม เพราะไม่ถูกกับโรค เวลาทานยา ต้องเข้าห้องน้ำแอบทาน เขาเมามายและหื่นมาก ๆ ร่วมกับดิฉันนัวเนียไปหมด พร้อมกัน โดยชาย 4 คน ทำเหมือนหนังเอ็กซ์ฝรั่ง ที่สำคัญบังคับดิฉัน โดยไม่สวมถุง ดิฉันจะบอกว่าเป็นอะไรกลัวเขาไม่เชื่อและหากเชื่อก็ต้องทำร้ายดิฉัน เขานอนพร้อม ๆ กับดิฉันตลอด 3 วัน ทำให้เขาทุกอย่าง จนระบมไปหมด ได้ค่าเหนื่อยมา สองหมื่นบาท

ดิฉันน่ะคุ้มมาก แต่พวกเขาจะคุ้มหรือไม่ฉันรู้ดี และคิดว่าทุกคนต้องติดโรคจากดิฉันแน่นอน อย่างน้อยที่ดิฉันจำได้ แต่ละคนร่วมเพศกับดิฉัน ไม่ต่ำกว่าคนละ 6 ครั้ง จะไม่มีครั้งใดไม่ติดโรคเชียวหรือ

ตอนนี้ต้องย้ายที่อยู่อีกแล้ว จึงอยากขอเตือนนักเที่ยวท้งหลาย เมื่อเที่ยวผู้หญิง ๆ ห้ามอะไรต้องเชื่อ เพราะว่าเขารู้ตัวเองดี จงตระหนักว่า ผู้หญิงทุก ๆ คน ที่คุณไปใช้บริการนั่น กาหัวไว้ก่อนเลยว่า เขาเป็นเอดส์ ไม่ใช่เพราะเขาไม่ป้องกันตัว เป็นเพราะผู้ชายบังคับเขา ดังนั้น จึงเป็นส่วนหนึ่งที่เขาได้แก้แค้นผู้ชายโดยไม่ตั้งใจ ติดโรคไปสู่เมียที่บ้าน มีลูกพลอยติดโรคไปด้วย ชีวิตที่เคยเป็นจะเป็นนรก เช่นดิฉันได้รับ....

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

ผู้หญิง ผู้ชาย ความรัก และกามารมณ์

ผู้หญิง ผู้ชาย ความรัก และกามารมณ์ ทั้ง 4 อย่างนี้สัมพันธ์กันในรูปแบบที่อธิบายได้ยาก กามารมณ์เป็นส่วนหนึ่งของความรัก เพราะความรักนั้นเป็นนามธรรม แต่กามารมณ์คือการแสดงออกทางรูปธรรมของความรัก เชื่อหรือไม่ว่า ในเรื่องของ ความรักและกามารมณ์นั้น ผู้ชายกับผู้หญิงมีการแสดงออกที่แตกต่างกันอย่างมากอย่างที่คุณๆ แทบนึกไม่ถึงเอาเลยทีเดียว อย่างที่เรารู้ๆ กัน ผู้ชายมักรักง่ายหน่ายเร็ว แต่ผู้หญิงจะรักยากแต่เมื่อรักแล้วจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ผู้ชายมักมีหลายรัก แต่ ผู้หญิงจะมีรักเดียว ผู้หญิงจะต้องการความรักแต่ผู้ชายต้องการทำรัก ผู้หญิงต้องการที่จะพบใครสักคนที่ดีเพื่อรักเขาเป็นคน สุดท้ายและรักตลอดไป แต่ไม่มีผู้ชายคนไหนที่คิดแบบนี้ ผู้ชายมักใจร้อนอยากให้ผู้หญิงรีบรับรักโดยเร็ว แต่ผู้หญิงต้องการ ค่อยๆ ศึกษาและดูใจเขาไปก่อน ในการมีเพศสัมพันธ์ผู้หญิงต้องการบรรยากาศที่เป็นใจ ความเป็นส่วนตัว ความเป็น ธรรมชาติและการเล้าโลมที่เนิ่นนานก่อนที่จะมีเซ็กซ์ เข้าทำนอง "ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม" แต่ผู้ชายกลับไม่เข้าใจและพยายามที่ จะกระทำการทันทีทันใดด้วยอารมณ์ที่เร่าร้อนเข้าทำนอง "น้ำขึ้นให้รีบตัก" ในการมีเซ็กซ์ ผู้ชายจะคำนึงถึงปริมาณมากกว่า คุณภาพ ความสุขเป็นอันดับแรก แต่ความปลอดภัยเป็นอันดับที่สอง จึงมีบางคนกล่าวว่าผู้หญิงมีความรักแบบ "โรแมนติค" (ROMANTIC ยึดถือในความรักในแบบอุดมคติ) แต่ผู้ชายมีความรักแบบ "อีโรติค (EROTIC ยึดถือความสุขทางเพศ เป็นสำคัญ)

คุณผู้ชายหรือคุณผู้หญิงทั้งหลายเคยสงสัยบ้างไหมว่า เจ้าอุปนิสัยและอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันเหล่านี้มีที่มาจาก อะไร
นอกจากการแสดงออกทางอุปนิสัยและอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันระหว่างหญิงชายแล้ว ในการมีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงและ ผู้ชายก็มีความแตกต่างกันในการแสดงออกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการมีอารมณ์เพศ การเข้าถึงจุดสุดยอดหรือเรื่องอื่นๆ ผู้หญิงมักเกิดอารมณ์เพศยาก ธรรมชาติในเรื่องนี้ของชายและหญิงนั้นแทบจะตรงข้ามกันเลยทีเดียว นั่นคือ ผู้ชายจะเกิด อารมณ์เพศง่ายและเร็วโดยไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมารองรับ ผู้ชายสามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงคนไหนก็ได้โดย ไม่จำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นด้วยความรัก แต่ผู้หญิงนั้น ถ้าเธอจะมีอะไรกับใครสักคนแล้ว คนๆ นั้นจะต้องเป็นคนที่เธอรัก และ เธอจะคิดก่อนเสมอว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่เธอสมควรจะต้องมอบกายมอบใจให้กับเขา ด้วยสาเหตุนี้ ผู้หญิงจึงเกิดอารมณ์เพศยากและเกิดได้ช้า และด้วยเหตุนี้เช่นกัน ผู้หญิงจึงต้องการ "การเล้าโลม" (FOREPLAY) ก่อนการร่วมเพศเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่ผู้ชายก็มักใจร้อนและชอบที่จะกระทำการด้วยความรวดเร็ว จึงไม่ อยากเสียเวลากับการเล้าโลม ปัญหานี้เป็นปัญหาที่คู่รักส่วนใหญ่ต้องประสบพบเจออยู่เป็นประจำ ผู้หญิงไปถึงจุดสุดยอดได้ยากและช้า ธรรมชาติของเพศหญิงต้องการเวลาในการสร้างอารมณ์เพศทีละนิด จนกระทั่งร่างกาย ได้รับการกระตุ้นไปจนถึงจุดสุดยอด การกระตุ้นที่จุดสัมผัสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการกอด การสัมผัสลูบไล้ไปที่อวัยวะส่วนต่างๆ โดยเฉพาะจุดที่ไวต่อความรู้สึก เช่น บริเวณต้นคอ เนินอก ซอกคอ หรือต้นขา ซึ่งควรต้องกระทำอย่างช้าๆ และเป็นจังหวะ แต่ผู้ชายนั้นจะถูกกระตุ้นได้ง่ายและรวดเร็วมากๆ ถึงขนาดที่ว่าเพียงแค่เห็นรูปถ่ายผู้หญิงที่แต่งตัววับๆ แวมๆ เท่านั้น ความ เป็นชายก็พลุ่งพล่านไปทั่วร่างแล้ว ซึ่งในผู้หญิงจะไม่ง่ายดายขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้ชายและหญิงมีลักษณะเช่นนี้ นอกจากสภาวะร่างกายตามธรรมชาติที่แตกต่างของหญิงและชายแล้ว ยังเกี่ยวข้อง กับฮอร์โมนอีกด้วย ในร่างกายผู้ชายจะมีฮอร์โมนเพศที่ชื่อว่า "เทสโตสเตอโรน" (TESTOSTERONE) อยู่ ส่วนในร่างกายผู้หญิงมีฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า "เอสโตรเจน" (ESTROGEN) อยู่ แล้วฮอร์โมนทั้งสอง ชนิดนี้คืออะไร ฮอร์โมน "เทสโตสเตอโรน" เป็นฮอร์โมนเพศชาย จะถูกผลิตขึ้นที่บริเวณลูกอัณฑะเป็นส่วนใหญ่ และส่วนน้อยผลิตจากต่อม หมวกไตและรังไข่ ซึ่งก็หมายถึงว่า ฮอร์โมนชนิดนี้ก็มีในเพศหญิงด้วยเช่นกันแต่เป็นจำนวนที่น้อยกว่า หน้าที่ของฮอร์โมนเท สโตสเตอโรน คือทำให้เกิดลักษณะของความเป็นชายขึ้น เช่น มีหนวดเครา ขนหน้าแข้ง เสียงที่แหบห้าว หรือมีกล้ามเนื้อเกิด ขึ้น และที่สำคัญ ช่วยกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกทางเพศให้กับเพศชาย ในเพศหญิงฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนจะไม่ส่งผลให้ เกิดลักษณะเฉพาะความเป็นชายแต่อย่างใด แต่มีหน้าที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศให้เกิดกับผู้หญิงเท่านั้น ดังนั้น ที่ผู้หญิงมี อารมณ์ความรู้สึกทางเพศน้อยกว่าผู้ชายก็เพราะว่ามีฮอร์โมนตัวนี้น้อยกว่านั่นเอง ส่วนในผู้หญิงนั้น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน "เอสโตรเจน" ออกมาจากรังไข่ ฮอร์โมนชนิดนี้ส่งผลให้ เกิดพัฒนาการทางร่างกายด้านต่างๆ ในเพศหญิง เช่น เต้านมโตขึ้น เอวคอด สะโพกผาย ต้นขากลม มีขนขึ้นที่บริเวณอวัยวะ เพศหญิง การทำงานของรังไข่จะอยู่ภายใต้การทำงานของต่อมใต้สมอง และการทำงานของต่อมใต้สมองก็จะอยู่ภายใต้การ ควบคุมของศูนย์ควบคุมอารมณ์ในสมองอีกที ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเพศหญิงมีอารมณ์และความรู้สึกต่อความรักลึกซึ้ง กว่าเพศชาย ด้วยสาเหตุดังกล่าว ความรักของผู้ชายจึงเกี่ยวพันกับการมีเพศสัมพันธ์อย่างแยกแยะไม่ออก ส่วนความรักของผู้หญิงก็เน้นไป ที่อารมณ์ ความรู้สึก ความรักและความผูกพันเป็นหลัก เท่ากับว่า เจ้าฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนและฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นตัว ที่สร้างความแตกต่างในการแสดงพฤติกรรมทางเพศ อุปนิสัยบางประการ รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของทั้งชายและ หญิงนั่นเอง การทำความเข้าใจในเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความยั่งยืนของชีวิตคู่ระหว่างหญิงชาย การเอาแต่โยนความผิดกันไป มาไม่เคยแก้ปัญหาอะไรได้เลย

การร่วมมือกันแก้ปัญหาด้วยการพบกันครึ่งทางคือวิธีที่ดีที่สุด
แค่เพียงความแตก ต่างในด้านสภาวะร่างกายตามธรรมชาติไม่ควรเป็นเหตุแห่งความรักที่แตกร้าวแต่อย่างใดเลย ผู้หญิงควรพยายามเรียนรู้ ผู้ชาย และผู้ชายก็ควรพยายามเข้าใจผู้หญิง
ตราบใดที่โลกเรายังดำรงอยู่ ความรักระหว่างชายหญิงก็ยังต้องมีอยู่เช่นเดียวกัน แม้จะมีชายหญิงหลายต่อหลายคนเปลี่ยนใจ ไปรักเพศเดียวกันมากมาย แต่ก็เป็นเพียงคนส่วนน้อย ไม่ว่าอย่างไร ความรักระหว่างชายหญิงก็จะต้องคงอยู่คู่โลกตลอดไป โดยไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลง

การถูกปฎิเสธ :ความผิดพลาด : ความสำเร็จ

ในเวลาบ่ายของวันหยุด เด็กหนุ่มนอนเอนกายอยู่บนเตียงภายในห้องของตัวเอง ครุ่นคิดถึงเพื่อนๆของเค้าที่ต่างก็ออกไปเที่ยวกับแฟนสาว มีแค่ตัวของเค้าเท่านั้นที่อยู่บ้านเพียงคนเดียว เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความเหงาที่เข้ามาครอบงำ จนในที่สุดเค้าก็บอกกับตัวเองว่า “อา....ทำไมเราถึงต้องมานอนเศร้าอยู่คนเดียวด้วย เอาล่ะ เราต้องการที่จะมีแฟน ดังนั้นมันถึงเวลาแล้วที่จะต้องออกไปหาสาวๆ” ไวเท่าความคิด เด็กหนุ่มรีบจัดแจงเปลี่ยนชุด แต่งตัวอย่างรีบเร่ง และในเวลาไม่นานเค้าก็พร้อมสำหรับการผจญภัยค้นหาหญิงสาวของตัวเอง
เด็กหนุ่มออกเดินทางไปในที่ๆวัยรุ่นมักจะไปพบปะสังสรรค์กัน ใช่แล้ว ที่นี่คือที่ๆดีที่สุดที่เค้าจะมีโอกาสได้พบกับสาวสวยมากมาย เค้ารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะนี่คือครั้งแรกที่เค้าตั้งใจออกมาจีบผู้หญิงโดยลำพัง
เด็กหนุ่มค่อยๆหยิบตำราจีบสาวที่ได้จากดอนฮวน เค้าเริ่มทบทวนบทเรียนที่ได้มาจากดอนฮวน
“บทเรียนที่1 ความสำเร็จมาจากความเชื่อ (The height of your accomplishment equals the deep of your conviction)
บทเรียนที่ 2 ที่ใดไม่มีความเคารพ ที่นั่นไม่มีความรัก (No respect No love)”
เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับในทุกๆครั้งที่เค้าได้เปิดตำราจีบสาว “เอาล่ะ ถึงแม้ว่าในตอนนี้ในตำราจะมีแค่ 2 บท แต่วันนี้เราจะต้องออกไปหาสาวๆและเรียนรู้สุดยอดวิธีจีบสาวเพิ่มเติมให้ได้” เด็กหนุ่มพูดกับตัวเอง
ในที่สุดเค้าก็มาถึงจุดหมาย เด็กหนุ่มเดินไปเรื่อยๆ สายตาก็มองหาสาวสวยที่ถูกใจ และในเวลาอันรวดเร็วหญิงสาวน่ารักคนนึงก็เดินผ่านมา เธอมีรูปร่างที่สมส่วน พร้อมกับใบหน้าที่งามเหมือนนางฟ้า เธอกำลังเดินดูเสื้อผ้าตามประสาของผู้หญิง “โอ้โห!!! เธอต้องเป็นนางฟ้าแน่ๆ ทำไมนางฟ้ามาเดินบนโลกมนุษย์เนี่ย เราควรที่จะเข้าไปคุยกับเธอ เราต้องรู้จักเธอให้ได้!” เด็กหนุ่มคิดในใจ
ทว่าการที่คิดถึงภาพเข้าไปพูดคุยกับสาวสวยนางฟ้าคนนี้ ทำให้เค้ารู้สึกหวาดกลัว เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด เค้าได้แต่ยืนมองสาวน้อยเดินไปๆๆ ไกลขึ้นเรื่อยๆๆๆๆ พร้อมๆกับความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ จนในที่สุดเธอก็เดินหายลับไป
“อา..อีกแล้ว เป็นอย่างนี้อีกแล้ว ไม่ๆๆๆๆๆ เรากลัวอะไรกันเนี่ย ทำไมเราไม่กล้าเข้าไปคุยกับเธอ”
เค้ารู้ดีว่าเค้าควรจะเข้าไปคุยกับสาวน้อย แต่ความกลัวบางอย่างได้มาหยุดการกระทำเอาไว้
เด็กหนุ่มเดินต่อไปอย่างหัวเสีย และในไม่ช้าก็พบกับสาวสวยอีกคนนึง เช่นเดิมสาวน้อยคนนี้เธอก็สวยบาดตาบาดใจ ใกล้เคียงกับสาวน้อยคนแรก “อุแม่เจ้า!!! สวยสุดๆ เธอต้องไม่ใช่มนุษย์โลกแน่ๆ ต้องเข้าไปทักทายเธอซะหน่อยแล้ว” แต่ร่างกายของเด็กหนุ่มกลับไม่ปฎิบัติตาม เค้ายังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ เด็กหนุ่มยังคงได้แต่ยืนมองให้สาวสวยเดินจากไปอีกเช่นเดิม ความรู้สึกร้อนรนภายในใจก็ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าด้วย
เด็กหนุ่มรู้ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ชาตินี้เค้าก็จะไม่มีทางมีแฟนเหมือนคนอื่นๆแน่ เค้ารู้ดีว่าต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติในตัวเค้าอย่างแน่นอน
และแล้วเค้าก็พบสาวสวยคนต่อไป เธอคนนี้ยิ่งสวยกว่าทุกคนที่เด็กหนุ่มเจอมา เสื้อสายเดี่ยวเอวลอยที่เผยให้เห็นหน้าท้องที่แบนราบ กางเกงยีนส์เอวต่ำรับกับสะโพกที่กลมกลึง และใบหน้าที่ใสไร้ริ้วรอย “โอววว แม่เจ้าโว้ยยยย นี่มันสิ่งมีชีวิตประเภทไหนกันนี่ เพอร์เฟ็กต์ที่สุด!!!” คราวนี้เด็กหนุ่มบอกกับตัวเองว่าต้องไม่พลาด เค้ารวบรวมความกล้ามากเท่าที่จะมากได้ แล้วเริ่มเดินเข้าไปหาหญิงสาว ใกล้เข้าไปๆๆๆๆๆๆ ทันใดนั้นหญิงสาวก็ได้หันมาสบตากับเค้าอย่างพอดี!!! เค้าตกใจและรีบก้มหน้าหลบพร้อมกับเดินไปทางอื่น
เด็กหนุ่มไม่กล้าคุยกับสาวสวยอีกเช่นเดิม เค้าถูกต้องคำสาปด้วยความกลัว!!!
เด็กหนุ่มเดินกลับบ้านอย่างผิดหวังที่สุด เพราะในวันนี้มีผู้หญิงสวยเป็นร้อยคนที่ได้พบ แต่เค้าไม่มีความกล้าพอที่จะเข้าไปคุยกับพวกเธอแม้แต่คนเดียว “เรามันขี้ขลาด แค่คุยกับผู้หญิงก็ยังไม่กล้า ทำไมต้องกลัวด้วย นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย!!!”
ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เด็กหนุ่มตะโกนออกมา
และทันใดนั้นเองดอนฮวนก็ปรากฏตัวขึ้น มา
“เจ้าหนุ่มน้อย ปัญหาที่แท้จริงของเจ้าในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเจ้ากลัวการพูดคุยกับผู้หญิงหรอก แต่สิ่งที่เจ้ากลัวจริงๆก็คือเจ้ากลัวการถูกปฎิเสธ” ดอนฮวนพูด
“กลัวการถูกปฎิเสธ อย่างนั้นหรือครับ”
“ใช่ เจ้าคิดว่าหากเจ้าเข้าไปหาสาวสวย สบตา เริ่มการพูดคุย แล้วพวกเธอไม่ตอบสนองในแบบที่เจ้าต้องการ ไม่ยอมคุยกับเจ้า หรือปฎิเสธเจ้าในทางใดทางหนึ่ง เจ้าคิดว่าเจ้าจะต้องเจ็บปวดมาก และเพื่อที่จะเลี่ยงความเจ็บปวดนั้น เจ้าเลยเลี่ยงที่จะพูดคุยกับผู้หญิง เจ้าต้องการที่จะเล่นเกมจีบสาวอย่างปลอดภัยเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองถูกปฎิเสธ แต่ว่าหนทางที่เจ้าเลือกก็ไม่ได้ทำให้เจ้าหายจากการเจ็บปวดไปได้ ตรงกันข้ามการที่ปล่อยให้สาวคนที่เจ้าชอบเดินจากไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลย กลับทำให้เจ้าเจ็บปวดมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า”
“ต..ต.แต่ว่า ผมไม่กล้าจริงๆนี่ครับ ผมเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด” เด็กหนุ่มพูดอย่างเศร้าสร้อย
โป้ก!!! ดอนฮวนตบหัวเด็กหนุ่มก่อนที่จะพูดว่า “มานี่ๆ ตามมา ข้าจะพาเจ้าไปดูอะไรบางอย่าง”
ดอนฮวนพาเด็กหนุ่มมาพบกับผู้ชายคนนึงที่กลัวการถูกปฎิเสธ
“ผู้ชายคนนี้เหมือนกับเจ้าทุกอย่าง เค้าต้องการจะอยู่อย่างปลอดภัย ไม่ต้องการที่จะถูกปฎิเสธ
โอวววว ไม่ ไม่ได้อย่างแน่นอนเพราะเค้าไม่อยากจะถูกทำร้ายจิตใจ ผู้ชายคนนี้ถึงแม้จะหน้าตาดีแต่เค้าจะไม่มีทางเริ่มต้นพูดคุยกับสาวๆก่อนแม้แต่คนเดียว เค้ากลัวการถูกปฎิเสธ!!!”
ผู้ชายรอ รอ แล้วก็รออยู่ช่วงเวลาหนึ่ง หวังว่าจะมีสาวๆเข้ามาหาเค้าก่อน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีสาวคนไหนเข้ามา เค้าเริ่มอึดอัด แต่ด้วยความที่มีเพื่อนเยอะ เค้าเลยยังมีโชคอยู่บ้าง เพื่อนผู้หญิงได้แนะนำให้เค้ารู้จักกับสาวคนหนึ่ง “วู้ฮู้ ดีจริงๆ ไม่ต้องเสี่ยงต่อการโดนปฎิเสธ แถมยังได้สาวๆอีกด้วย ในที่สุดก็มีแฟนซะที” ชายหนุ่มดีใจที่สุด
“ทุกอย่างเหมือนกำลังไปได้ด้วยดี แต่เราลองมาดูกันสิว่า ชีวิตของผู้ชายที่ไม่ต้องการโดนปฎิเสธจะเป็นยังไงต่อไป” ดอนฮวนบอกเด็กหนุ่ม
ทั้งคู่คบกันไปได้สักพักก็เลิกกันไป และชีวิตของเค้าก็ดำเนินต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ เมื่อใดก็ตามที่เค้าต้องการคบกับผู้หญิงสักคน เค้าจะรอให้เพื่อนๆแนะนำให้ ตอนนี้นอกจากเค้าจะมีปัญหากลัวการถูกปฎิเสธแล้ว เค้ายังมีปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย เค้าไม่ได้ผู้หญิงในแบบที่เค้าต้องการ!!! แน่ล่ะ เค้าจะได้ผู้หญิงในแบบที่ต้องการได้อย่างไร ในเมื่อ เค้ารอคอยให้คนอื่นเป็นคนเลือกมาให้
“แต่ว่า...เค้าเป็นผู้ชายหน้าตาดีนะครับ มันก็น่าจะมีผู้หญิงในแบบที่เค้าชอบเข้ามาหาเค้าก่อนบ้างอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ? เค้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปหาผู้หญิงก่อนแล้วเสี่ยงกับการถูกปฎิเสธ” เด็กหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าอยากจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตหวังพึ่งแต่โชคชะตาอย่างนั้นหรือ!!! ทำไมเจ้าถึงอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับการรอคอย!!! ทำไมเจ้าต้องรอให้ผู้หญิงเข้ามาหาเจ้าก่อน ทั้งๆที่เจ้าสามารถออกไปหาสาวคนที่เจ้าถูกใจได้ ทำไมเจ้าถึงให้คนอื่นมากำหนดชีวิตของเจ้า สิ่งที่เจ้าเป็น ทั้งๆที่เจ้าสามารถกำหนดชีวิตเจ้าได้ด้วยตัวเอง!!!”
มันเป็นจุดจบของความเป็นชาย การเป็นผู้ชายหมายถึงการออกไปเอาสิ่งที่ต้องการ ไม่ใช่รอคอยโชคชะตา!!!
ดอนฮวนพาเด็กหนุ่มมาพบผู้ชายอีกคนนึง ผู้ชายคนนี้ไม่หล่อ ไม่รวย เห็นได้ชัดว่าเค้าไม่ใช่ชายในฝันของผู้หญิงสักเท่าไหร่ แต่เค้ามีสิ่งที่ผู้ชายคนอื่นไม่มี เค้าไม่กลัวการถูกปฎิเสธ!!! เค้าเข้าไปพูดคุยกับสาวๆที่เค้าชอบก่อนผู้หญิงมักจะคุยด้วยอย่างเต็มใจ เค้าขอเบอร์โทรศัพท์พวกเธอ แต่ว่าพวกเธอก็มักจะปฎิเสธอย่างสุภาพ เค้ายังคงพยายามต่อไปอีกนับสิบครั้ง แต่ว่าโชคยังไม่เข้าข้าง ผู้หญิงยังปฎิเสธกลับมาทุกครั้ง
“อา... แย่ๆๆ เค้าทำผิดพลาดมาก เค้าไม่ควรเข้าไปขอเบอร์พวกเธอเลย ผมรู้ว่าเค้าต้องเจ็บมากแน่ๆที่โดนปฎิเสธทุกครั้ง”
“คอยดูต่อไป เจ้าหนุ่มน้อย”ดอนฮวนบอกเด็กหนุ่ม
ชายหนุ่มยังคงเข้าไปคุยกับสาวๆอย่างสม่ำเสมอ แต่ครั้งนี้เลวร้ายที่สุด เค้าโดนปฎิเสธอย่างหยาบคายโดยสาวคนหนึ่ง
“ง่ะ...แย่แล้ว ครั้งนี้แย่จริงๆ ผู้หญิงบอกให้เค้าไปไกลๆ เค้าต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ”
ตรงกันข้าม ชายหนุ่มขอบคุณหญิงสาวและเดินจากออกมาอย่างสง่าผ่าเผย เค้ามีสีหน้าสบายใจ ไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย
“มันเป็นไปได้ยังไง!!! เค้าเพิ่งถูกปฎิเสธมาอย่างแรง มันเจ็บมากผมรู้ เค้าเพิ่งทำผิดพลาดมาทำไมถึงยังยิ้มได้ เค้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”เด็กหนุ่มตกตะลึง
“เค้าขอบคุณเธอเพราะเธอทำให้เค้ารู้ว่าเธอเป็นนางมารร้าย ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตัวเค้า เธอมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และสื่อสารกับคนอื่น เค้าไม่ได้ต้องการผู้หญิงประเภทนี้ ! และในการที่เธอปฎิเสธเค้าอย่างหยาบคายทำให้เค้ารู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เค้าต้องการ เค้าไม่ต้องเจอกับปัญหานั้นอีกต่อไป นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเค้าถึงขอบคุณเธอ”
“แต่ถึงแม้ว่าปัญหาจะไม่ได้อยู่ที่ตัวเค้า มันก็ยังแย่อยู่ดีที่โดนปฎิเสธกลับมา ไม่ใช่หรือครับ?
ยังไงเค้าก็ต้องรู้สึกเจ็บที่ทำผิดพลาด”เด็กหนุ่มยังคงสงสัย
“ไม่ ไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย และเค้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดด้วย ตรงกันข้ามเค้ารู้สึกพอใจเพราะเค้ากำลังประสบความสำเร็จ” ดอนฮวนอธิบาย
“อะไรนะ?” เด็กหนุ่มงุนงงอย่างมาก “ผมไม่เข้าใจครับ ทำไมเค้าถึงไม่เจ็บ ทำไมเค้าถึงกำลังประสบความสำเร็จ? เห็นๆกันอยู่ว่าเค้าโดนปฎิเสธกลับมาทุกครั้ง”
“เค้าไม่เจ็บเพราะว่าการถูกผู้หญิงปฎิเสธหรือสิ่งที่เจ้าเรียกว่าการทำผิดพลาดนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่เค้าต้องการในการจีบสาวให้ประสบความสำเร็จ เรามาถามผู้รู้กันหน่อยดีมั้ย?”
ด้วยพลังเวทย์มนต์ ดอนฮวนหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเสกบุคคลผู้หนึ่งขึ้นมา
โทมัส เอดิสัน บิดาแห่งการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า
“ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวน มิสเตอร์เอดิสัน”ดอนฮวนพูด “แต่เราอยากจะถามคุณสักหน่อยว่า อัจฉริยะอย่างคุณรู้สึกยังไงในตอนที่ชาวบ้านหาว่าคุณบ้าที่พยายามประดิษฐ์หลอดไฟ คุณรู้สึกยังไงในตอนที่คุณล้มเหลวมา 10,000 ครั้งก่อนที่จะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าได้สำเร็จ”
มิสเตอร์เอดิสันเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดว่า
“I have not failed. I’ve just found 10,000 ways that won’t work.”
Thomas A.Edison 1874-1931
“ผมไม่ได้ล้มเหลวแต่ผมค้นพบวิธีที่ไม่ได้ผลถึง 10,000 วิธี”
โทมัส เอ. เอดิสัน 1874-1931
ดอนฮวนขยับไม้กายสิทธ์ขึ้นลงอยู่ 2-3 ครั้ง มิสเตอร์เอดิสันก็หายตัวไปในกลุ่มควันสีเทาอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าเห็นว่าการถูกปฎิเสธคือเรื่องที่ผิดพลาด แต่มิสเตอร์เอดิสันกลับมองว่าเป็นความสำเร็จ การก้าวไปข้างหน้า บอกข้ามาสิวันนี้เจ้าถูกปฎิเสธโดยสาวๆ บ้างหรือยัง? วันนี้เจ้าได้ทำสิ่งที่เจ้าเรียกว่าความผิดพลาดบ้างหรือยัง?”ดอนฮวนถาม
“เอ่ออ...ยังครับ จริงๆแล้วผมยังไม่ได้เริ่มทำเลยด้วยซ้ำ ผมกลัวการถูกปฎิเสธ กลัวการทำผิดพลาด”
“นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเจ้าถึงยังไม่ประสบความสำเร็จ เจ้ายังสะสมความผิดพลาดไม่เพียงพอ เอาล่ะเราลองมาถามผู้รู้อีกคนดูดีกว่า”
ดอนฮวนเสกสนามบาสเก็ตบอลขึ้นมาพร้อมกับนักบาสเก็ตบอลร่างสูงผิวดำคนหนึ่ง
จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ไมเคิล จอร์แดน
“มิสเตอร์จอร์แดน คุณชนะเลิศ NBA ถึง 6 สมัย และตั้งแต่ชาวโลกได้รู้จักกีฬาบาสเกตบอล คุณได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่เล่นบาสเกตบอลเก่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา คุณช่วยบอกผมหน่อยสิว่าอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของคุณ?” ดอนฮวนถาม
มิสเตอร์จอร์แดนยิ้มและวิ่งไปหยิบลูกบาสแล้วเลี้ยงไปที่เขต 3 แต้ม เค้ากระโดดขึ้นชู้ตทันที
แป็ก!!! โอวว ลูกกระทบห่วงออกมา เค้ายังวิ่งตามไปเก็บบอล แล้วเลี้ยงกลับไปที่เดิม พร้อมกลับกระโดดขึ้นชู้ต แป็ก!!! ลูกยังไม่ลง คราวนี้หนที่สาม มิสเตอร์จอร์แดนหายใจช้าๆ และกระโดดจัมพ์ชู้ตเฟดอเวย์ (fade away) ซวบ!!! ลูกลงไปอย่างสวยงาม มิสเตอร์จอร์แดนหันกลับมามองเด็กหนุ่มแล้วพูดขึ้นมาว่า
“เคล็ดลับของผม มันง่ายนิดเดียว”
“อะไรครับ คุณจอร์แดน เคล็ดลับคุณคืออะไรครับ?”เด็กหนุ่มถามด้วยความตื่นเต้น
“I've missed more than 9000 shots in my career. I've lost almost 300 games. 26 times, I've been trusted to take the game winning shot and missed. I've failed over and over and over again in my life. And that is why I succeed.”
-Michael Jordan.
“ผมชู้ตพลาดมามากกว่า 9,000 ลูกในชีวิตการเล่น ผมแพ้มาเกือบ 300 เกมส์ อีก 26 ครั้งที่เพื่อนร่วมทีมไว้ใจให้ชู้ตในวินาทีสุดท้ายแล้วพลาด ผมทำผิดพลาดมาตลอดเวลา ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก และนั่นก็เป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงประสบความสำเร็จ” -ไมเคิล จอร์แดน
พูดจบมิสเตอร์จอร์แดนได้หายไปกับกลุ่มควันเหมือนเอดิสัน
“เจ้าเข้าใจหรือยัง? คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ไม่เคยทำผิดพลาด แต่คนที่ประสบความสำเร็จเป็นคนที่ทำผิดพลาดตลอดเวลา” ดอนฮวนบอกพร้อมกับใช้ไม้กายสิทธิ์เสกสาวน้อยวัยใสขึ้นมาหนึ่งคน เด็กหนุ่มยืนมองอ้าปากค้าง ตื่นตะลึงกับความสดใสของสาวน้อย
ดอนอวนใช้ไม้กายสิทธิ์เคาะหัวเด็กหนุ่ม “เอ้า! มัวรออะไรอยู่ เข้าไปคุยกับเธอสิ ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเธอแน่ๆ ก็เธอน่ารักซะขนาดนั้น ดัดฟันเหล็กด้วยนะนั่น 55 “ดอนฮวนหัวเราะชอบใจ
“ต...แต่ว่า ผม”
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ตั้งตัว ดอนฮวนใช้เวทมนต์บังคับร่างกายให้เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาสาวน้อยสุดน่ารัก
“ฮ..เฮ้ยยยย ทำไมขามันขยับไปเอง ไม่เอาๆๆ ..ไม่ๆๆ”
และแล้วเด็กหนุ่มก็มายืนอยู่ตรงหน้าของสาวน้อยพอดิบพอดี เค้าตื่นเต้นมากและยืนตัวบิดไปมา“เอ่อ...อ...คือ ผมคิดว่าคุณน่ารักครับ” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สาวน้อยหัวเราะคิกคักกับความเปิ่นของเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะพูดว่า“ขอบคุณค่ะ”เธอยืนยิ้มให้เด็กหนุ่มจากนั้นก็เดินจากไป
”อา....เธอน่ารักจังและดูเป็นมิตรด้วย บางทีถ้าเราขอเบอร์โทรศัพท์เธออาจจะให้ก็ได้ น..นะ..นี่มันอะไรกันนี่ เราไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสแบบนี้เกิดขึ้น โอวว พระเจ้า นี่เราเพิ่งพลาดโอกาสทองไปใช่มั้ยนี่!!!”
“ใช่แล้ว ผู้หญิงมากมายก็ชอบที่เจ้าเข้าไปคุยกับพวกเธอ พวกเธอมีจิตใจที่ดีกว่าที่เจ้าคาดไว้เยอะ” ดอนฮวนพูด “เจ้าหนุ่มน้อยแต่ก่อนเจ้ามองไม่เห็นโอกาส แต่ตอนนี้เจ้าได้รู้แล้วว่ามันขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง ตอนนี้เจ้าเริ่มเห็นโอกาสนั้นแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเห็นสาวคนที่ถูกใจ อย่าลังเล เข้าไปคุยกับเธอ!!!”
“คุณดอนฮวนผมเริ่มมองเห็นโอกาสแล้ว แต่ผมเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจเอาซะเลย ผมยังลังเลที่จะเข้าไปคุยกับสาวๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมคงไม่มีทางเข้าไปคุยกับเธอแน่ๆ ผมไม่มั่นในตัวเองจริงๆครับ”
“ที่เจ้าลังเล มันก็เป็นเพียงแค่เจ้ายังไม่คุ้นเคยกับการเข้าไปหาพวกเธอเท่านั้นเอง และเจ้าจะไม่มีทางคุ้นกับมันจนกว่าเจ้าจะเดินไปหาพวกเธอ จงจำเอาไว้เมื่อใดที่เจ้าลังเล เจ้าจะต้องเดินเข้าไปคุยกับพวกเธอ อย่ายืนมอง อย่ารอคอยโอกาสที่ดี อย่าคิดหาคำพูดที่เพอร์เฟกต์!!! นี่เป็นวิธีที่จะทำให้เจ้าหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์”
”วงจรอุบาทว์?”
“ทุกๆครั้งที่เจ้าลังเล และรอคอยโอกาสที่เพอร์เฟกต์ เจ้าก็ถูกสาปโดยความกลัวเข้าไปทีละน้อยๆ เจ้าเห็นสาวที่ชอบ เจ้ายืนรอ รอ รอ แล้วก็รอ จนกระทั่งเธอเดินจากไป โอกาสที่เพอร์เฟกต์ไม่เคยมาถึง!!! ทุกๆครั้งที่เจ้าเลือกที่จะยืนอยู่กับที่เจ้าก็ได้ถลำลึกเข้าไปในวงจรนี้ จนกระทั่งเจ้าไม่เหลือความเป็นชายอยู่อีกเลย”
”แล้วผมจะหลุดออกมาจากวงจรนี้ได้ยังไงครับ มีวิธีแก้มั้ยครับ?”
”แน่นอน มันมีทางแก้”
ดอนฮวนยื่นยา 4 เม็ดให้กับเด็กหนุ่ม ยาแต่ละเม็ดใช้รักษาให้ผู้ชายหลุดพ้นจากความลังเล
เด็กหนุ่มทานยาเม็ดที่ 1
“ยาเม็ดที่ 1 ทำให้เจ้าเข้าใจว่า การเข้าไปคุยกับสาวๆ คือสิทธิพิเศษที่ผู้ชายได้รับ นี่คือสิ่งที่ทุกคนรวมทั้งผู้หญิงคาดหวังว่าผู้ชายจะต้องทำ นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติต้องการจะให้มันเป็น!!! การมีสิทธิเข้าไปคุยกับผู้หญิงก่อนคือสิ่งที่เป็นข้อดีของผู้ชาย ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว”
เด็กหนุ่มทานยาเม็ดที่ 2
“ยาเม็ดที่ 2 ทำให้เจ้าไม่ใช้ชีวิตอยู่กับการรอคอย และเลิกที่จะอยู่กับความกลัว เจ้ารู้ว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะใช้ชีวิตในการรอคอยทั้งๆที่เจ้าสามารถออกไปทำมันให้เป็นจริงได้ด้วยตัวเอง มันสนุกอย่างไรที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความกลัว ในกรงขัง!!! จงเป็นอิสระดั่งนกที่บินออกจากรัง ปลดปล่อยตัวเอง ดึงความเป็นชายออกมาและนั่นก็คือการออกไปเอาสิ่งที่ต้องการ เจ้าเห็นผู้หญิงที่เจ้าต้องการ เจ้าเดินไปคุยกับเธอ”
เด็กหนุ่มทานยาเม็ดที่ 3
“ยาเม็ดที่ 3 เจ้ารู้ว่ามีผู้หญิงอีกมากมายที่รอคอยให้ผู้ชายเข้าไปหา ผู้ชายคนที่ไม่เหมือนคนอื่น คนที่กล้าที่จะเป็นอิสระและยอมรับในความเป็นชาย เจ้าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องกลัวพวกเธอ พวกเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ รูปร่างบอบบาง ร้องไห้บ่อยเพราะความเหงา เฝ้ารอคอยผู้ชายสักคนที่จะเข้ามาในชีวิต ถ้าใครที่ดูเหมือนอ่อนแอขนาดนั้นทำให้เจ้ากลัวได้ล่ะก็ เจ้ามีปัญหาใหญ่แล้วล่ะ”
เด็กหนุ่มทานยาเม็ดที่ 4
“ยาเม็ดที่ 4 เม็ดที่สำคัญที่สุด เมื่อใดที่เจ้าลังเลและกลัวที่จะถูกปฎิเสธ ยาเม็ดนี้จะทำให้เจ้าคิดถึงมิสเตอร์เอดิสันและมิสเตอร์จอร์แดน พวกเขาชอบการโดนปฎิเสธ พวกเขารักการผิดพลาด เพราะว่า…
ความสำเร็จถูกซ่อนอยู่ในความผิดพลาด คนที่มองหาความผิดพลาดเท่านั้นที่จะพบความสำเร็จ!

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก

ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็จะทำได้
การที่จะสร้างและทำให้พลังแห่งความเชื่อแข็งแกร่ง มีหลัก 3 ประการ
1. คิดว่าต้องสำเร็จ อย่าคิดว่าล้มเหลว
2. เตือนตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่าคุณเก่งกว่าที่คุณคิด
3. คิดใหญ่

รักษาโรคชอบแก้ตัว : โรคแห่งความล้มเหลว
ข้ออ้างยอดนิยม 4 ประการ
1. เรื่องสุขภาพ
- ปฏิเสธที่จะพูดเรื่องสุขภาพ
- ปฏิเสธที่จะปริวิตกหรือเป็นทุกข์หนักใจเกี่ยวกับสุขภาพ
- จงรู้สึกยินดีอย่างจริงใจที่สุขภาพของคุณดีเท่าๆ กับของคนอื่น
- เตือนตัวเองบ่อยๆ ว่าชีวิตเป็นของคุณที่จะสนุกสนาน อย่าไร้สาระ
2. เรื่องความฉลาด
- อย่าประเมินมันสมองของคุณต่ำเกินไป และอย่าประเมินมันสมองของคนอื่นสูงเกินไปค้นให้พบความสามารถพิเศษที่คุณมีอยู่ สิ่งสำคัญคือวิธีที่คุณใช้สมองของคุณจัดการกับสมอง
- เตือนตัวเองวันละหลายๆ ครั้งว่า ทัศนคติสำคัญกว่าสมอง
- จำไว้ว่าความสามารถที่จะคิดมีค่ามากกว่าความสามารถในการจำ
3. เรื่องอายุ
- มองอายุปัจจุบันของคุณในแง่บวก คิดในสิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างความกระตือรือร้นและความรู้สึกของความเป็นหนุ่ม
- คำนวณเวลาที่คุณยังสามารถทำงานได้อย่างขยันขันแข็งใช้เวลาในอนาคตทำในสิ่งที่คุณต้องการทำจริงๆ

4. เรื่องโชค
- ยอมรับกฎของเหตุและผล
- อย่าเป็นคนเพ้อฝัน

สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง และทำลายความหวาดกลัว
1. การปฏิบัติเพื่อรักษาความกลัว แยกแยะความกลัวความกลัวออกมาแล้วทำในสิ่งที่เหมาะสม การไม่ทำอะไรกับสถานะการณ์ที่เกิดขึ้นเท่ากับเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับความกลัวและทำลายความมั่นใจ
2. พยายามอย่างเต็มกำลังที่จะใส่เฉพาะความคิดที่เป็นบวกลงในความทรงจำ อย่าให้ความคิดที่เป็นลบและติเตียนตนเองเติบโตจนกลายเป็นอสูรทางจิต ปฏิเสธที่จะฟื้นความหลังที่ขมขื่นทุกประการ
3. จัดให้ทุกคนอยู่ในสถานภาพที่เหมาะสม จำไว้ว่าคนเรามีความเหมือนกันมากกว่าที่จะแตกต่างกัน มองทุกคนด้วยความรู้สึกที่เท่าเทียมกัน และสร้างทัศนคติที่เข้าใจผู้อื่น คนจำนวนมากจะเห่าแต่มีน้อยคนที่กัด
4. ฝึกทำในสิ่งที่จิตใต้สำนึกของคุณบอกว่าถูกต้อง สิ่งนี้จะป้องกันความรู้สึกผิดในจิตใจไม่ให้เกิดขึ้น ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
5. ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะบอกว่า มั่นใจ มั่นใจจริงๆ
ต่อไปนี้เป็นเทคนิคที่คุณควรฝึกในกิจวัตรประจำวัน
- เป็นคนนั่งแถวหน้า
- สบตา
- เดินเร็วขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์
- พูด
- ยิ้มเปิดเผย

วิธีการคิดใหญ่
1. อย่ามีปมด้อย เอาชนะความรู้สึกที่ดูถูกตัวเอง มุ่งเน้นในคุณสมบัติของตนเอง คุณดีกว่าที่คุณคิด
2. ใช้คำของคนที่คิดใหญ่ ใช้คำที่ใหญ่ สดใส และรื่นเริง ใช้คำพูดที่ให้สัญญาว่าจะชนะ ให้ความหวัง ความสุข ความรื่นเริง หลีกเลี่ยงคำที่สร้างภาพพจน์ที่ไม่รื่นเริงของความล้มเหลว การพ่ายแพ้ และความโศกเศร้า
3. มองอนาคตให้ไกลขึ้น ดูว่าอะไรจะเป็นไปได้ ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เป็นอยู่ ฝึกเพิ่มคุณค่าให้กับสิ่งต่างๆ คนอื่น และตัวคุณเอง
4. มองงานของคุณให้ใหญ่ขึ้น คิดอย่างจริงจังถึงความสำคัญของงานที่คุณทำอยู่ในปัจจุบัน การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งคราวหน้าส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับทัศนคติที่คุณมองงานในปัจจุบันของคุณ
5. อย่าคิดเรื่องจุกจิก เอาใจใส่ต่อวัตถุประสงค์หลัก ก่อนที่จะเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องจุกจิกทั้งหลาย ถามตังคุณเองว่า “มันสำคัญอะไรนักหรือ”

วิธีการคิดและฝันอย่างสร้างสรรค์
1. เชื่อว่าเราทำได้ เมื่อคุณเชื่อว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นไปได้ จิตใจของคุณจะหาหนทางที่จะทำขึ้น เพราะเชื่อว่ามีทางเปิดไปสู่คำตอบ
ลบคำว่า “เป็นไปไม่ได้” “ใช้ไม่ได้ผล” “ทำไม่ได้” “ไม่มีประโยชน์ที่จะลอง” ออกจากความคิดและคำพูดของคุณ
2. อย่าให้ความคิดดั้งดิมทำให้จิตใจคุณเป็นอัมพาต ยอมรับความคิดใหม่ๆ ทดลองและลองแนวทางใหม่ เป็นคนหัวก้าวหน้าในทุกสิ่งที่คุณทำ
3. ถามตัวเองทุกวันว่า “เราจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร?” ไม่มีข้อจำกัดในการปรับปรุงตัวเองเมื่อคุณถามตัวเอง คำตอบจะปรากฏขึ้น
4. ถามตัวเองว่า “เราจะทำให้มากขึ้นได้อย่างไร?” ความสามารถในการทำงานเป็นสภาวะของจิตใจ การถามตัวเองด้วยคำถามนี้จะส่งสัญญาณให้จิตใจคุณทำงาน หาวิธีตัดทอนงานที่ไม่จำเป็นต่างๆ ออก องค์ประกอบร่วมของความสำเร็จในธุรกิจก็คือทำสิ่งที่คุณทำให้ดีขึ้น (ปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์) และทำในสิ่งที่คุณทำให้มากขึ้น (เพิ่มปริมาณของผลผลิต)
5. ฝึกถามและฟัง คุณจะได้วัตถุดิบที่จะใช้ในการตักสินใจที่ถูกต้อง จำไว้ว่าคนใหญ่ผูกขาดการฟัง คนเล็กผูกขาดการพูด
6. เปิดใจของคุณ ให้จิตใจของคุณได้รับการกระตุ้น สังสรรค์กับคนที่จะช่วยให้คุณคิดถึงความคิดใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ ในการทำสิ่งต่างๆ คลุกคลีกับคนที่อยู่ในอาชีพอื่น

คุณเป็นไปตามที่คิดว่าคุณเป็น
1. ดูสำคัญ มันช่วยให้คุณคิดสำคัญ การปรากฏกายของคุณพูดกับคุณ ให้แน่ใจว่ามันช่วยยกระดับขวัญกำลังใจและความเชื่อมั่นในตนเองของคุณ การปรากฏกายของคุณพูดกับคนอื่นด้วย เพราะฉะนั้นให้แน่ใจว่ามันพูดว่า “นี่คือคนสำคัญ ฉลาด มั่งคั่ง และไว้ใจได้”
2. คิดว่างานของคุณสำคัญ คิดแบบนี้แล้วคุณจะได้รับสัญญาณจากจิตใจถึงวิธีที่จะทำงานของคุณให้ดีขึ้น คิดว่างานของคุณสำคัญแล้วลูกน้องของคุณจะคิดว่างานของเขามีความสำคัญเช่นกัน
3. พูดอย่างห้าวหาญกับตัวเองวันละหลายๆ ครั้ง สร้างโฆษณา “ขายตัวเองให้กับตัวคุณเอง” พูดย้ำกับตัวเองในทุกโอกาสว่า “คุณเป็นคนชั้นหนึ่ง”
4. ในทุกสถานการณ์ของชีวิต ถามตัวเองว่า “นี่เป็นวิธีการที่คนสำคัญคิดใช่หรือไม่?” แล้วเชื่อฟังคำตอบนั้น

จัดการกับสภาพแวดล้อมของคุณ : เอาชั้นหนึ่ง
1. เป็นคนระวังในเรื่องสภาพแวดล้อม เช่นเดียวกับที่อาหารสร้างร่างกาย อาหารใจสร้างจิตใจ
2. ใช้สภาพแวดล้อมของคุณทำงานให้คุณ ไม่ใช่ต่อต้านคุณ อย่าให้พลังต้านที่มาจากคนที่มีความคิดลบ คนที่มีแต่คิดว่าทำไม่ได้มาทำให้คุณไขว้เขว และคิดอย่างพ่ายแพ้
3. อย่าให้คนคิดเล็กดึงคุณไว้ คนขี้อิจฉาต้องการเห็นคุณล้ม อย่าให้เขาสมหวัง
4. ขอคำแนะนำจากผู้ที่ประสบผลสำเร็จ อนาคตของคุณเป็นสิ่งสำคัญ อย่าเสี่ยงกับที่ปรึกษาอิสระที่มีชีวิตที่ล้มเหลว
5. รับแสงแดดของจิตใจให้มาก สังคมกับคนกลุ่มใหม่ๆ ค้นหาและทำสิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น
6. โยนยาพิษของความคิดออกจากสภาพแวดล้อมของคุณ หลีกเลี่ยงการนินทา คุยเกี่ยวกับเรื่องงาน แต่พูดเฉพาะในด้านที่เป็นบวก
7. เอาชั้นหนึ่งในทุกสิ่งที่คุณทำ คุณไม่มีปัญญาเอาชั้นอื่น แพงเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพของมัน

ทำให้ทัศนคติของคุณเป็นพวกเดียวกับคุณ
1. ปลูกฝังทัศนคติที่ว่า “ฉันกระตือรือร้น” ผลตอบแทนมาเป็นสัดส่วนกับความกระตือรือร้นที่ลงทุนลงไป มี 3 สิ่งที่จะช่วยทำให้คุณกระตือรือร้น ดังนี้
- ศึกษาให้ลึกซึ้ง เมื่อคุณพบว่าคุณไม่ได้สนใจในบางสิ่งบางอย่าง ค้นคว้าและเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับมัน สิ่งนี้จะสร้างความกระตือรือร้นขึ้นมาได้
- เพิ่มชีวิตชีวาในทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณ การยิ้มของคุณ การจับมือ การพูด แม้แต่การเดิน ทำให้มีชีวิตชีวา
- การประกาศข่าวดี ไม่มีใครเคยประสบความสำเร็จในทางที่เป็นบวกโดยการประกาศข่าวร้าย
2. ปลูกฝังทัศนคติที่ว่า คุณเป็นคนสำคัญ และทุกคนจะทำให้คุณมากกว่าเมื่อคุณทำให้เขารู้สึกสำคัญ อย่าลืมทำสิ่งต่อไปนี้
- ในทุกโอกาสแสดงความสำนึกในบุญคุณเท่าที่ทำได้ และทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญ
- เรียกคนอื่นโดยเรียกชื่อเขา
3. ปลูกฝังทัศนคติที่ว่า บริการอยู่เหนือสิ่งอื่นใด และดูเงินที่จะตามมาเอง ตั้งเป็นกฏว่าคุณจะทำให้คนอื่นมากกว่าที่เขาคาดว่าจะได้รับ

คิดให้ถูกต้องต่อคนอื่น
1. ทำให้ตัวเองเบาลงในการที่จะยก ฝึกเป็นคนที่น่านิยมชมชอบ ฝึกเป็นคนประเภทที่คนทั่วไปชอบ ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เขาสนับสนุนคุณและเติมเชื้อเพลิงให้กับโปรแกรมสร้างความสำเร็จของคุณ
2. เป็นผู้ริเริ่มในการสร้างความเป็นเพื่อน แนะนำตนเองกับคนอื่นในทุกโอกาสที่ทำได้ ให้แน่ใจว่าคุณได้ชื่อเรียกที่ถูกต้องของคนอื่น และให้แน่ใจเท่าๆ กันว่าเขาได้ชื่อคุณเช่นเดียวกัน ส่งจดหมายส่วนตัวถึงเพื่อนใหม่ของคุณถ้าคุณอยากรู้จักเขาให้มากขึ้น
3. ยอมรับความแตกต่างและข้อจำกัดในมนุษย์ อย่าคาดหวังความสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์จากผู้ใด อย่าลืมว่าคนอื่นมีสิทธิที่จะแตกต่าง และอย่าเป็นคนชอบแย้ง
4. เป็นช่องบวก สถานีจิตใจที่ดี ค้นหาคุณสมบัติที่จะชื่นชอบและยกย่องคนอื่น ไม่ใช่ค้นหาแต่สิ่งที่จะทำให้เกลียด และอย่าให้คนอื่นทำให้ความคิดของคุณลำเอียงเกี่ยวกับบุคคลที่สาม คิดสิ่งที่เป็นบวกต่อคนอื่น แล้วคุณจะได้ผลที่เป็นบวก
5. ฝึกเป็นคนเอื้ออารีในการสนทนา เป็นเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จ สนับสนุนให้เขาพูด ให้คนอื่นพูดเกี่ยวกับตัวเขา ความเห็นของเขา และความสำเร็จของเขา
6. ฝึกเป็นคนเอื้อเฟื้อตลอดเวลา มันทำให้คนอื่นรู้สึกดีขึ้น และมันทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นด้วย
7. อย่าโทษคนอื่นเมื่อคุณพ่ายแพ้ จำไว้ว่าวิธีการที่คุณคิดเมื่อคุณประสบความพ่ายแพ้จะเป็นตัวที่กำหนดว่าอีกนานเท่าไหร่คุณถึงจะชนะ

สร้างนิสัยในการลงมือทำ
1. เป็นคนกระตือรือร้น เป็นคนทำงาน เป็นนักทำ อย่าเอามือซุกหีบ
2. อย่ารอจนกระทั่งเงื่อนไขต่างๆ สมบูรณ์แบบ มันไม่มีวันเกิดขึ้น เผชิญหน้ากับความยุ่งยากและอุปสรรคในอนาคต และแก้ปัญหาเมื่อเกิดขึ้น
3. จำไว้ว่า ลำพังความคิดเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้เกิดความสำเร็จ แต่ความคิดจะมีค่าก็ต่อเมื่อได้รับการปฏิบัติ
4. ใช้การลงมือปฏิบัติช่วยขจัดความกลัวและสร้างความมั่นใจ ทำในสิ่งที่กลัวแล้วความกลัวจะหายไป ลองทำแล้วคอยดู
5. ติดเครื่องความคิดของคุณด้วยมือ อย่ารอให้จิตใจผลักดันคุณให้ทำ แต่ลงมือทำไปก่อนแล้วคุณจะผลักดันจิตใจให้คิด
6. คิดในเกณฑ์ของคำว่าเดี๋ยวนี้ คำว่าพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า วันหลัง หรือคำอื่นๆ ที่คล้ายกันนั้นมักเป็นคำที่เหมือนหรือใกล้เคียงกับคำแห่งความล้มเหลว นั่นคือไม่มีวัน จงเป็นคนประเภท “ฉันจะเริ่มเดี๋ยวนี้”
7. นั่งลงและทำงาน อย่าเสียเวลาเตรียมตัวที่จะทำ เอาเวลานั้นมาทำงานดีกว่า
8. เป็นผู้ริเริ่ม เป็นนักรณรงค์ หยิบลูกบอลแล้วออกวิ่ง เป็นอาสาสมัคร แสดงให้เห็นว่าคุณมีความสามารถ และมีความทะเยอทะยานที่จะทำ

วิธีเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ
ความแตกต่างระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวจะพบได้ในทัศนคติของคนคนหนึ่งต่อความพ่ายแพ้อุปสรรค ความท้อแท้ และความผิดหวังอื่นๆ มีป้ายบอกทาง 5 ป้ายที่จะช่วยให้คุณเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ นั่นคือ
1. ศึกษาความพ่ายแพ้เพื่อที่จะปูทางไปสู่ความสำเร็จ เมื่อคุณแพ้ควรเรียนรู้และเอาชนะในครั้งต่อไป
2. มีความกล้าหาญที่จะวิจารณ์ตัวเอง ค้นให้พบความผิดพลาดและจุดอ่อนของตัวเองแล้วทำการแก้ไข สิ่งนี้จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ
3. หยุดโทษโชคชะตา ตรวจสอบการพ่ายแพ้แต่ละครั้ง ค้นหาว่าอะไรผิดพลาด จำไว้ว่าการโทษโชคชะตาไม่ทำให้ใครสามารถไปในที่ที่เขาต้องการจะไปได้
4. ผสมผสานความมุมานะกับการทดลอง ยึดติดกับเป้าหมาย แต่อย่าเอาหัวชนฝา ทดลองวิธีการใหม่ๆ
5. จำไว้ว่ามีด้านที่ดีอยู่ในทุกสถานการณ์ ค้นหาดู มองด้านที่ดีและหันหลังให้กับความท้อแท้หมดหวัง

ใช้เป้าหมายช่วยให้คุณโต
นำหลักการสร้างความสำเร็จมาใช้
1. กำหนดให้ชัดเจนว่าคุณต้องการไปทางไหน สร้างภาพพจน์ของตัวคุณเอง 10 ปีนับจากวันนี้
2. เขียนแผน 10 ปีของคุณ ชีวิตของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญเกินกว่าที่จะปล่อยให้เป็นไปตามดวง เขียนลงในกระดาษในสิ่งที่คุณต้องการทำให้สำเร็จในงานของคุณ ครอบครัว และชีวิตในสังคม
3. ยอมจำนนต่อความปรารถนาของคุณ ตั้งเป้าหมายเพื่อให้ได้รับพลังงาน ตั้งเป้าหมายเพื่อให้สิ่งต่าง ๆ ได้รับการปฏิบัติจนสำเร็จ ตั้งเป้าหมายพบความสนุกสนาน และเพลิดเพลินในการใช้ชีวิต
4. ปล่อยให้เป้าหมายหลักของคุณเป็นตัวชี้นำชีวิตโดยอัตโนมัติ เมื่อคุณปล่อยให้เป้าหมายครอบจิตใจของคุณ คุณจะพบว่าคุณตัดสินใจอย่างถูกต้องที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นเสมอ
5. ทำงานสู่เป้าหมายทีละขั้น ถือว่าแต่ละก้าวที่คุณทำเป็นอีกก้าวหนึ่งสู่เป้าหมาย ไม่ว่าก้าวนั้นจะดูเหมือนก้าวเล็กแค่ไหนก็ตาม
6. สร้างเป้าหมาย 30 วัน ความพยายามแต่ละวันในที่สุดจะให้ผลที่ต้องการตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
7. เดินอ้อมในการย่างก้าวของคุณ ทางอ้อมมีความหมายเป็นเพียงอีกทางหนึ่ง มันไม่ควรจะหมายถึงการยอมจำนนในเป้าหมายของคุณ
8. ลงทุนในตนเอง ซื้อสิ่งที่สร้างพลังทางจิตใจและประสิทธิภาพ ลงทุนในการศึกษา ลงทุนในสิ่งที่สร้างความคิด

วิธีที่จะคิดเหมือนกับเป็นผู้นำ
การที่จะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผลมากขึ้น ใช้กฎการเป็นผู้นำ 4 ข้อต่อไปนี้
1. แลกเปลี่ยนจิตใจกับคนที่คุณต้องการมีอำนาจชักจูงจิตใจ มันเป็นการง่ายที่จะทำให้คนอื่นทำในสิ่งที่คุณต้องการให้เขาทำ ถ้าคุณจะมองสิ่งต่างๆ จากสายตาของเขา ถามตัวเองด้วยคำถามนี้ก่อนที่คุณจะลงมือทำ “ผมจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ถ้าผมเป็นเขา และเขาเป็นผม?”
2. ประยุกต์ใช้กฎ “ความเป็นมนุษย์” ในการติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่น ถามว่า “อะไรคือวิธีที่มีความเป็นมนุษย์ในการจัดการกับปัญหานี้?” ในทุกๆ สิ่งที่คุณทำ แสดงให้เห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับคนเป็นอันดับแรก ปฏิบัติต่อคนในแบบที่คุณอยากได้รับการปฏิบัติ คุณจะได้รับผลตอบแทนไม่ช้าก็เร็ว
3. คิดอย่างก้าวหน้า เชื่อในความก้าวหน้าและผลักดันเพื่อความก้าวหน้า คิดปรับปรุงในทุกสิ่งที่คุณทำ คิดมาตรฐานสูงในทุกสิ่งที่คุณทำ ในระยะเวลาหนึ่งลูกน้องมีแนวโน้มที่จะเป็นรูปสำเนาของหัวหน้าของเขา ให้แน่ใจว่ารูปต้นแบบมีค่าควรแก่การสำเนา ตั้งเป็นนโยบายส่วนตัวในสิ่งต่อไปนี้ “ที่บ้าน ที่ทำงาน ในสังคม ถ้าเป็นเรื่องของความก้าวหน้า ผมเห็นด้วย”
4. หาเวลานอกพูดคุยกับตัวเอง และดึงพลังความคิดชั้นสุดยอดของคุณออกมาใช้ การตั้งใจอยู่อย่างโดดเดี่ยวให้ผลตอบแทนคุ้มค่า ใช้มันในการปลดปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ของคุณออกมา ใช้มันในการค้นหาคำตอบให้แก่ปัญหาส่วนตัวและธุรกิจ ดังนั้นใช้เวลาบางส่วนสำหรับอยู่ตัวคนเดียวทุกวันเพียงเพื่อที่จะคิด ใช้เทคนิคการคิดที่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายใช้ นั่นคือพูดคุยกับตัวเอง

วิธีใช้ความมหัศจรรย์ของการคิดใหญ่ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่สุดของชีวิต
1. เมื่อคนเล็กพยายามกดคุณลงมา จงคิดใหญ่ แน่นอนมีคนบางคนต้องการที่จะทำให้คุณแพ้ ต้องการให้คุณประสบกับเคราะห์ร้าย ต้องการให้คุณถูกตำหนิ แต่คนเหล่านี้ไม่สามารถที่จะทำร้ายคุณได้ถ้าคุณจำ 3 สิ่งต่อไปนี้
- คุณชนะถ้าคุณปฏิเสธที่จะสู้กับคนคิดเล็กคิดน้อย การต่อสู้กับคนเล็กจะลดขนาดของคุณให้เท่ากับเขา เพราะฉะนั้นยืนอยู่ในตำแหน่งที่ใหญ่ไว้
- คาดไว้ได้เลยว่าคุณจะต้องถูกแทงข้างหลัง นั่นเป็นการพิสูจน์ว่าคุณกำลังโต
- เตือนตัวเองว่าคนลอบกัดมีความเจ็บป่วยทางจิตใจ จงเป็นคนใหญ่และให้ความสงสารแก่พวกเขา
- คิดให้ใหญ่พอที่จะปลอดภัยจากการโจมตีจากพวกคิดเล็กคิดน้อย
2. เมื่อเกิดความรู้สึกที่ว่า “ผมไม่มีในสิ่งที่จำเป็นต่อความสำเร็จ” คืบคลานเข้ามาหาคุณ จงคิดใหญ่ จำไว้ว่าถ้าคุณคิดว่าคุณอ่อนแอ คุณก็จะอ่อนแอ ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีความสามารถเพียงพอ คุณก็ไม่มี โจมตีแนวโน้มทางธรรมชาติของคนที่จะรู้สึกตนเองว่าต่ำต้อยด้วยเครื่องมือต่อไปนี้
- ทำให้ดูสำคัญ มันช่วยให้คุณคิดในสิ่งที่สำคัญ รูปร่างหน้าตาและการปรากฏกายภายนอกของคุณมีส่วนเกี่ยวพันกับความรู้สึกภายในของคุณเป็นอย่างมาก
- มุ่งเน้นในคุณสมบัติของคุณ สร้างวิธีการขายตัวเองให้กับตัวเองแล้วใช้มัน เรียนรู้ที่จะชาร์จพลังในตัวคุณเอง รู้จักด้านบวกของตัวเอง
- วางคนอื่นให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม คนอื่นก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง เพราะฉะนั้นจะกลัวเขาทำไม
- คิดให้ใหญ่เพียงพอ เพื่อที่จะเห็นว่าคุณดีแค่ไหนจริงๆ
3. เมื่อการทะเลาะเบาะแว้งดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ จงคิดใหญ่ พยาบาท อาฆาต จะไม่ช่วยให้คุณไปถึงที่ที่คุณต้องการจะไป
- ถามตัวเองว่า “จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่สำคัญแค่ไหนที่จะต้องถกเถียงกัน?”
- เตือนตัวเองว่า คุณไม่ได้อะไรเลยจากการทุ่มเถียง แต่คุณจะเสียอะไรบางสิ่งบางอย่างเสมอ
- คิดให้ใหญ่เพียงพอที่จะเห็นว่าการทะเลาะ การทุ่มเถียง และความพยาบาทอาฆาตจะไม่ช่วยคุณไปถึงที่ที่คุณต้องการจะไป
4. เมื่อคุณรู้สึกพ่ายแพ้ จงคิดใหญ่ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงโดยปราศจากความลำบากและความผิดพลาด แต่มันเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากการถูกทำให้พ่ายแพ้ นักคิดใหญ่มีปฏิกิริยาต่อความผิดพลาดโดยวิธีนี้
- ถือว่าความผิดพลาดเป็นบทเรียน เรียนรู้จากมัน วิเคราะห์ดูความผิดพลาด และใช้มันในการส่งคุณให้ก้าวไปข้างหน้า กอบกู้สิ่งที่เหลืออยู่จากความผิดพลาดทุกครั้ง
- ผสมผสานความมุ่งมั่นกับการทดลอง ถอยหลังและเริ่มทำใหม่ด้วยวิธีการใหม่ๆ
- คิดให้ใหญ่พอที่จะเห็นว่าความพ่ายแพ้เป็นสภาวะของจิตใจ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
5. เมื่ออารมณ์รักเริ่มจะเสื่อมคลาย จงคิดใหญ่ ความคิดที่จุกจิกและเป็นลบประเภท “เขาไม่ยุติธรรมกับฉัน ฉะนั้นฉันก็จะทำแบบเดียวกัน” เป็นความคิดที่ฆ่าอารมณ์แห่งความรัก ทำลายความเสน่หาที่ควรจะเป็นของคุณ ทำสิ่งต่อไปนี้เมื่อเกิดความขัดข้องหมองใจในด้านของความรัก
- มุ่งเน้นในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดกับคนที่คุณต้องการให้รักคุณ เก็บสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไว้ในที่ของมัน
- ทำบางสิ่งบางอย่างเป็นพิเศษสำหรับคู่ของคุณ และทำบ่อยๆ คิดให้ใหญ่พอที่จะพบความสุขของชีวิตแต่งงาน
6. เมื่อคุณรู้สึกว่าความก้าวหน้าในงานกำลังช้าลง จงคิดใหญ่ ไม่ว่าคุณจะทำอย่างไร และไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไร การเลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนที่สูงขึ้นมาจากสิ่งเดียวเท่านั้น คือเพิ่มคุณภาพและปริมาณของผลผลิตของคุณ ทำสิ่งต่อไปนี้
คิดว่า “ผมสามารถทำให้ดีขึ้น” สิ่งที่ดีที่สุดไม่มี เพราะฉะนั้นมีช่องทางที่จะทำทุกสิ่งให้ดีขึ้น ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ถูกทำขึ้นอย่างสมบูรณ์ไม่มีที่ติ และเมื่อคุณคิดว่า วิธีที่จะทำให้ดีขึ้นก็จะปรากฏ จะปล่อยพลังความคิดสร้างสรรค์ของคุณออกมา คิดให้ใหญ่พอที่จะเห็นว่าถ้าคุณถือบริการอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เงินก็จะตามมาเอง

special thank : หญิง โส


---------------------------------------------------------------

ความมั่นใจในตนเอง

มีรายการหนึ่งมาสัมภาษณ์เรื่อง การสร้างความมั่นใจให้ตนเอง ขณะนี้คนขาดความมั่นใจกันมาก ทั้งในแง่ธุรกิจ การงาน การศึกษา สังคมและครอบครัว คนจึงมีอาการโลเล ลังเล ไม่มั่นใจ วิตก กังวล ระแวง ว่าที่คิดไปแล้วนั้นถูกหรือผิด ที่ทำไปแล้วนั้นใช่หรือไม่ จะคบใครก็ไม่แน่ใจว่าจะคบดีหรือไม่ จะลงทุนก็ไม่กล้าลงทุน กลัวสิ่งนั้นกังวลสิ่งนี้ ดูๆ แล้วผู้คนในสังคมกำลังขาดความมั่นใจกันขึ้นทุกวันๆ
ผมให้สัมภาษณ์ไปว่า ผมอยากเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ว่าความมั่นใจของคนเรานั้น เปรียบเสมือนปริมาณทองคำแท่งในตัวของเราทุกคน บางคนมีจำนวนมาก บางคนมีจำนวนน้อย และบางคนไม่มี แต่ส่วนใหญ่จะมีอยู่แล้วทั้งนั้นในปริมาณแตกต่างกัน
คนที่จะมีความมั่นใจได้ก็คือคนที่มองเห็นคุณค่าของทองคำแท่งในตัวของตัวเอง ซึ่งมีไม่เท่ากันแต่ก็มีค่าทั้งนั้น บางคนก็มองเห็น บางคนก็มองไม่เห็นหรอกแม้จะมีอยู่มากก็ตาม หลายๆ คนมีทองคำแท่งอยู่เป็นจำนวนมากแต่ไม่เคยมอง กลับมองเห็นแต่กองขยะในชีวิต หรือสิ่งที่ไม่ดีในตัวเอง จึงไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
บางคนมีทองคำแท่งนิดเดียว แต่มองเห็นได้ชัดและตระหนักในความมีค่าของมัน เขามีความมั่นใจในตัวเองตามความเป็นจริงของเขา
นั่นก็คือคนที่จะมีความมั่นใจในตัวเองได้ คือคนที่ตระหนักในความมีคุณค่าของตนเองได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเวลานั้นทั้งดีหรือว่าเลวลง เขาก็ตระหนักในความมีค่าของเขาอยู่เหมือนเขามีทองคำแท่งอยู่ในตัวของเขา ทำให้เขามั่นใจตัวเองได้ ไม่มีความกลัว ไม่โลเล ไม่กังวล ไม่ระแวง ไม่ท้อถอย
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มักมีความมั่นใจในตัวเองตามความเป็นจริง เสมือนเขามั่นใจในทองคำแท่งในตัวเขาทุกคน ไม่ว่าจะมีมากหรือมีน้อย แต่มันก็มีค่า เมื่อเขานึกถึงความมีค่าของตัวเขาก็ทำให้เขามั่นใจ กล้าหาญ กล้าลงมือทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างดีต่อไป

ผมได้เสนอวิธีสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองง่ายๆ ดังนี้
1. ให้นึกถึงทองคำแท่งในตัวเองเสมอๆ คือ ให้นึกถึงความดีหรือความเก่งที่ตัวเองเคยทำได้แล้วเสมอๆ แม้จะทำได้เพียงเล็กน้อยก็ใช้ได้ เช่น เคยช่วยคนยากจน เคยช่วยสัตว์ที่ลำบาก เคยทำบุญ นึกถึงเพียง 2-3 อย่างก็พอ นึกบ่อยๆ จนเกิด "ความเชื่อ" ว่าตัวเองมีค่าที่ทำสิ่งที่ดีๆ ได้แล้ว โอกาสที่จะทำความดีความเก่งต่างๆ ต่อไปอีกก็มีได้มากขึ้น เมื่อชื่นชมตัวเอง เชื่อว่าตัวเองมีค่า ก็เกิดความมั่นใจตัวเองตามความเป็นจริงได้
2. ให้หัดตัดสินใจและรับผิดชอบต่อการตัดสินใจนั้นๆ การเลือกตัดสินใจเป็นการใช้ปัญญาของมนุษย์ คนจะเลือกตัดสินใจแตกต่างกันตามประสบการณ์ ความคิด ความรู้ ความกลัว หลักง่ายๆ และให้นึกถึงความรักเพื่อนมนุษย์เข้าไปด้วย ผลของการตัดสินใจมักไม่ผิดพลาด ขอให้คิดว่าเมื่อเรา "กล้า" ตัดสินใจสักหนึ่งครั้งแล้ว โอกาสจะ "กล้า" ตัดสินใจต่อๆ ไปจะมากขึ้น เมื่อตัดสินใจแล้วก็รับผิดชอบต่อการตัดสินใจนั้น ถ้าผลออกมาดีก็ทำต่อไป ถ้าผลออกมาไม่ดี ก็ตัดสินใจใหม่ได้ เปลี่ยนแปลงได้ไม่เป็นไร และให้ถือว่าเป็นประสบการณ์ของชีวิต ชีวิตต้องมีประสบการณ์ทั้งนั้น ทั้งที่พอใจและไม่พอใจ ไม่เช่นนั้นชีวิตจะไม่มีค่าหรอก
3. ลดความกลัว คนจะนึกถึงความกลัวจนไม่กล้าตัดสินใจ และไม่มั่นใจตัวเอง จงลดความกลัว โดยให้นึกถึงคำว่า "กล้า" ให้บ่อยขึ้น บอกกับตัวเองสิว่า กล้าหาญมากขึ้นทุกวันๆ ทุกนาทีที่ผ่านไป ความกล้าหาญเป็นคุณสมบัติที่ดีของชีวิต ถ้าเรานึกว่าเรามี เราก็จะมีมากขึ้นทันที แต่ถ้าเรานึกว่าเราไม่มีความกล้า มีแต่ความกลัว เราก็จะ "เชื่อ" ว่าเราไม่กล้า มีแต่ความกลัวตลอดชีวิต
4. เลิกสงสารตัวเอง ในกรณีที่ตัดสินใจแล้วได้ผลไม่น่าพอใจ หรือคิดว่าตัดสินใจผิด
น่าจะตัดคำว่า "สงสาร" ออกไปจากคำพูดและความคิดเสีย ควรใช้คำว่า "เห็นอกเห็นใจ" จะดีกว่า ถ้าหากทำสิ่งใดแล้วไม่ได้ตั้งใจนึกก็ให้เห็นอกเห็นใจตัวเอง ไม่ซ้ำเติมตัวเอง จงให้กำลังใจตัวเองและลงมือทำใหม่ได้ ทุกอย่างจะกลายเป็นประสบการณ์ ถ้าผลออกมาดีก็ทำต่อไปตามแบบที่ทำแล้วนั้น ถ้าไม่ดีก็ให้เปลี่ยนเสีย ทำสิ่งใหม่เสีย ก็แค่นั้นเอง ขอให้นึกเสมอๆ ว่าเวลาทำอะไรให้ทำเต็มที่ ตัดสินใจแล้ว ทำเต็มที่แล้ว ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น เพราะทำเต็มที่แล้ว ให้ถือว่าเก่งมากและดีมากแล้ว ส่วนผลที่ออกมานั้นเราควบคุมไม่ได้หรอก ปล่อยไปตามธรรมชาติเถิด ไม่เป็นไรหรอก ผลเป็นอย่างไรก็ให้ยอมรับ แต่ไม่ใช่ความผิดของเรา ถ้าคิดอย่างนี้ เราจะเกิดกำลังใจและเกิดความมั่นใจ และมีความกล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่ควรทำตลอดไป
5. เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทั้งกับคนที่ดีกว่าและคนที่ด้อยกว่า เพราะถ้าเปรียบเทียบตัวเองบ่อยๆ กับคนอื่น ทั้งกับคนอื่นที่เด่นกว่าหรือด้อยกว่า คุณจะไม่รักตัวเองในที่สุด หรือมีพฤติกรรมที่ไม่น่ารักตามมามากขึ้น เช่น ถ้าคุณเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่ด้อยกว่า คุณจะหยิ่ง หรือหลงตัวเองได้ง่ายๆ ไม่น่ารักหรอก หรือบางคนมัวแต่สงสารคนอื่นจนตัวเองหมดความสุข และถ้าคุณเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่เด่นกว่า คุณอาจอิจฉาเขาหรือแข่งขันมากจนไม่เป็นสุข หรือคุณอาจจะรู้สึกต่ำต้อยจนกลายเป็นปมด้อยและไม่เป็นสุกเช่นกัน จงเปลี่ยนการเปรียบเทียบเป็นการยอมรับจะดีกว่าครับ เช่น ถ้าประจักษ์ว่าเราทำได้ดีกว่าคนอื่น หรือคนอื่นด้อยกว่าก็ให้ยอมรับ และมีจิตเมตตาคนอื่นอยากช่วยคนอื่นมากขึ้น ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ใช่ต้องทำให้ได้ทั้งหมด เพราะจะทำให้เป็นทุกข์ได้อีก
แต่ถ้าประจักษ์ว่าคนอื่นดีกว่าเราก็ให้ยอมรับ และให้รู้สึกยินดีกับเขา หรือเลียนแบบอย่างที่ดีจากเขาก็ได้ ซึ่งจะทำให้ได้มิตรภาพและความเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น ขณะนี้มีคนขาดความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ทำให้สังคม ครอบครัว และตัวเขาเองไม่มีความสุข มีหลายๆ คนมาปรึกษาที่คลินิกด้วยเรื่องการขาดความมั่นใจในตัวเองนี้ ทั้งที่หลายคนเป็นคนเก่ง หลายๆ คนจบระดับปริญญาเอก ผมต้องวิเคราะห์จากประวัติครอบครัว การอบรมเลี้ยงดูตั้งแต่วัยเด็กและสิ่งแวดล้อม แรงกระทบที่จารึกไว้ในระดับจิตใต้สำนึก ซึ่งมีแตกต่างกัน แล้วจึงแนะนำช่วยเหลือ แนะแนวคิด ซึ่งแต่ละรายจะไม่เหมือนกัน ที่เขียนแนะนำมานี้น่าจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง ลองนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ผมอยากเห็นสังคมไทยมีคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น กล้าตัดสินใจและลงมือทำสิ่งที่เหมาะสม และรับผิดชอบต่อการกระทำนั้นได้มากขึ้น ถ้าทำไม่เหมาะ ไม่ควร ก็หยุดเสีย เลิกเสีย และทำใหม่ได้
รู้จักเมตตาคนที่ด้อยกว่า และยินดีกับคนที่เด่นกว่า จะทำให้ไม่หลงตัวและไม่เกิดปมด้อยในจิตใต้สำนึก สังคมจะน่าอยู่ ผู้คนจะน่ารักมากขึ้น
ช่วยกันฝัน ช่วยกันทำให้มากขึ้นเถิด เราจะได้อยู่กันอย่างมีสันติสุขในกลุ่มคนที่มีคุณภาพชีวิต เข้าขั้นมาตรฐานสากลมากขึ้น

ที่มา ดร.วรภัท ภู่เจริญ

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552

เข้าใจผู้หญิง.. (หรือเจ้าหญิง)

เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก... บางอย่างยากที่จะเอ่ยจากปากให้ชายรู้ มีคนชอบกล่าวว่า ผู้หญิงมีหลายหน้า บางเวลาอาจเป็นเทพธิดา แต่บางเวลาอาจกลายเป็นนางมารร้ายขึ้นมา โดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งพระอุมาเทวี บางเวลายังอาจกลายเป็นนางกาลีไป ก็ได้ แต่นั่น ก็เป็นเพียงแค่คำร่ำลือ หรือเรื่องราวที่พูดกันต่อๆ มาเท่านั้น ไม่ได้มีข้อมูลหรือข้อเท็จจริงใดๆมาพิสูจน์ ขณะเดียวกันก็ไม่ค่อยจะมีหลักฐานอะไรมาหักล้าง ความเชื่อเหล่านั้นเช่นกัน ตราบใดที่โลกเรายังคงดำรงอยู่ ไม่หยุดหมุน โลกเราก็ยังคงมีความรักระหว่างหนุ่มและสาว แม้ว่าจะน้อยลงทุกวัน เนื่องจากหลายคนเริ่มหันไปรักเพศเดียวกันเพราะเข้าใจกันมากกว่า แต่ความรักระหว่างผู้ชายและผู้หญิงก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไป และจำต้องมีความเข้าใจในกันและกันมากขึ้น และมากขึ้น เพราะความรักที่แท้จริงก็คือ การเข้าใจและให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกัน รวมทั้งการพยายามปรับตัวเข้าหากันด้วย การเรียนรู้ซึ่งกันและกันจึงเป็นพื้นฐาน ของการใช้ชีวิตคู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้กระทั่งในตำราพิชัยสงครามของซุนวู ยังว่าไว้ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งมาเริ่มเรียนรู้คุณผู้หญิงกันดูบ้างจะดีไหมครับ !! เริ่มจากกำจัดความเข้าใจผิดที่มีต่อกันและกันก่อน...ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง
• ผู้หญิงพอใจอะไรยาก ?
ผู้ชายมักจะชอบพูดถึงผู้หญิงในแง่นี้เสมอๆว่า เข้าใจยาก พอใจอะไรยาก ชอบเปลี่ยนใจง่าย บางคนถึงกับบอกว่า พวกเธอเปลี่ยนใจทุกวินาที วินาทีละหลายร้อยครั้ง ซึ่งน่าจะไม่เป็นจริง ที่จริงแล้ว ผู้หญิงมักจะพอใจอะไรที่ดีกว่า และอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่าเดิม ของคนที่พวกเธอรัก ไม่ว่าจะเป็นสามี หรือลูกๆ เธอจึงดูเหมือนชอบ ขี้บ่น ติโน่น ติงนี่อยู่ตลอดเวลา... โดยเฉพาะหลังจากตกลงปลงใจว่า จะใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายคนนี้ คนที่เธอรัก เคยสังเกตไหมครับว่า ก่อนแต่งงาน ก่อนใช้ชีวิตคู่ ตอนรักกันใหม่ๆนั้น เธอไม่ค่อยติติงเท่าใด ก็เพราะเธอยังไม่แน่ใจว่าจะรักหรือตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตด้วยหรือไม่ แต่พอเธอแน่ใจแล้ว มั่นใจแล้ว เธอก็จะไม่เปลี่ยนใจรัก เธอจึงอยากให้คนที่เธอรักดีขึ้น... ตอนนั้นแหละเหมือนเธอเอาใจยากขึ้น ที่จริงตอนรักกันก็เอาใจยากอยู่แล้ว !! ...เพราะเธอต้องการอะไรที่ดีกว่าที่คุณเสนอ แต่ถ้าคุณเสนอสิ่งที่ดีที่สุดแก่เธอ... เธอจะรับโดยดี โดยไม่บ่นว่า ดังนั้น ถ้าคุณผู้ชายคนไหนยังคิดว่าแฟนของคุณพอใจอะไรยาก ก็แสดงว่าสิ่งที่คุณทำให้เธอยังไม่ดีพอ หรือไม่ใช่ที่เธอต้องการเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่า เธอเอาใจยากเลย
• ผู้หญิงมักจะมีอารมณ์เพศยาก ?
จริงอยู่ ที่ผู้หญิงเกิดอารมณ์พิศวาสและไปถึงจุดสุดยอดได้ยาก และใช้เวลายาวนานกว่าผู้ชาย แต่ถ้าคุณผู้ชายเข้าใจเธอสักหน่อย คุณสามารถที่จะทำให้เธอมีอารมณ์พิศวาส และสามารถจะตอบสนองต่อคุณ เพื่อที่จะไปยังจุดหมายปลายทางที่ฝันรวมกันเอาไว้ นั่นก็คือ การให้ความรักแก่เธอให้มากๆ ให้เธอรับรู้ว่า คุณรักเธอคนเดียว ปรารถนาเธอคนเดียว และมีเธอคนเดียวเท่านั้นที่คุณอยากจะแสดงความรัก ด้วยการมีสัมพันธ์สวาทกัน นั่นเป็นสิ่งที่สามารถจุดไฟปรารถนาของเธอให้คุโชนขึ้นง่ายที่สุด ผู้หญิงต้องเกิดความรักก่อน จึงจะเกิดอารมณ์เพศ และมีไฟปรารถนาที่จะร่วมรัก ผู้ชาย เมื่อได้ร่วมรักจนสุขสมแล้ว ก็จะรู้สึกผ่อนคลายหายเครียด แต่ผู้หญิง ต้องรู้สึกผ่อนคลายหายเครียดก่อน จึงอยากจะร่วมรัก ถ้าคุณผู้ชายสามารถทำให้เธอหายเครียดด้วยความรักของคุณที่มีต่อเธออารมณ์ปรารถนาของเธอ ก็จะเกิดขึ้น และร่วมรักกับคุณอย่างเป็นธรรมชาติ จนมีความสุขสมร่วมกันครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย
• ผู้หญิงไปถึงจุดสุดยอดได้ยาก !
เป็นความจริงที่ผู้หญิงไปถึงดวงดาวได้ยาก และต้องใช้เวลานานมากกว่าผู้ชาย ทั้งนี้ก็เพราะเธอต้องการเวลาในการค่อยๆเพิ่มอารมณ์เพศสักช่วงระยะหนึ่ง ก่อนที่ร่างกายของเธอจะได้รับการกระตุ้น จนไปถึงจุดสุดยอด ผู้หญิงต้องการกระตุ้นจุดสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการกอด สัมผัสลูบไล้ไปยังส่วนต่างๆ ที่ยังไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ปราการด่านสุดท้าย ที่ผู้ชายหวังจะโจมตี จนเมื่อเธอแสดงอาการว่า อยากให้สัมผัสส่วนนี้ของเธอแล้ว คุณค่อยเริ่มกระตุ้น และการกระตุ้นส่วนสงวนของเธอนั้น ก็ต้องใช้เทคนิคเช่นกัน ถ้าคุณจะใช้มือกระตุ้นให้เคลียเคล้าบริเวณข้างๆ ปากทางก่อน ค่อยไล่ลงมายังกลีบเนื้อที่ปิดปากถ้ำสวรรค์ไว้ แล้วค่อยไปยังปุ่มปมประสาทสัมผัสที่เรียกว่าคลิตอริส... อย่านะ อย่าใช้นิ้วมือคุณกดลงไปทันที เพราะจะทำให้เธอเจ็บจนหมดอารมณ์ที่จะเริงรักกับคุณ คุณต้องค่อยๆใช้นิ้วคุณวนๆ รอบๆ ปุ่มสัมผัสดังกล่าวก่อน จนแน่ใจว่าเธอมีอารมณ์มากแล้ว จึงค่อยๆ เน้นตรงจุดอย่างเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขอย้ำนะครับว่า ผู้หญิงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ชอบอะไรที่สม่ำเสมอ มั่นคงและต่อเนื่อง... รวมทั้งการกระตุ้นให้เธอไปถึงดวงดาวด้วย ผู้หญิง ส่วนใหญ่ไปถึงจุดสุดยอดด้วยท่า "มิชชันนารี" เพราะร่างกายของฝ่ายชาย ที่ทานทับลงไปบนตัวเธอนั้น ทำให้เวลาที่เขาขยับส่วนนั้นของเขาเข้าออกเพื่อการสัมผัสรักกับเธอ ปุ่มคลิตอรัสจะได้รับการเสียดสีกับกระดูกหัวเหน่าของเขาเป็นการกระตุ้น ขณะเดียวกัน ปุ่มดังกล่าวก็จะมีการยืดขึ้นและหดลง ตามจังหวะของการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ ที่เธอและเขาร่วมกันแสดงนั้น แล้วจะทำให้เธอไปถึงดวงดาวได้โดยง่าย
• ผู้หญิงต้องการเงินมากกว่าความรัก ?
ผู้ชายหลายราย มักจะมีความรู้สึกนึกคิดเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้ว ผู้หญิงหลายคนที่แม้ว่าร่างกายบางส่วนของเธอสามารถจะซื้อหาได้ด้วยเงินตรา แต่เธอก็ยังคงเหลือบางส่วนไว้ให้คนที่เธอรักเสมอ... สงสัยไหมครับ บทสัมภาษณ์ผู้หญิงขายบริการคนหนึ่งบ่งบอกว่า เธอยอมมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้าในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบใด แต่เธอไม่ยอมจูบปากอย่างดูดดื่มกับลูกค้าคนใดเลย เธอบอกว่า เธอเก็บจูบที่บริสุทธิ์ของเธอไว้ให้ชายคนที่เธอรักเท่านั้น คนอื่นไม่มีวัน ไม่ว่าจะให้เงินทอง เธอมากน้อยแค่ไหน หรือเธอจะพอใจมากขนาดใด เพราะลูกค้าก็คือลูกค้า ไม่ใช่ชายคนรัก เงิน จึงอาจจะซื้อความรักได้... แต่ไม่ใช่รักแท้ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้รักแท้จากผู้หญิง ต้องเอารักแท้ของคุณไปแลกมา จึงจะได้รักแท้จากเธอ
• ผู้หญิงชอบขี้บ่นจู้จี้จุกจิก
ผู้หญิงจู้จี้และขี้บ่นก็เพราะ คนที่อยู่รอบข้างเธอไม่ได้สนใจในรายละเอียดที่เธออยากจะให้สนใจ เช่น เวลาจะแสดงความรักกัน ถ้าเธอรู้สึกว่า ตัวเองหรือเขาไม่สะอาด เธอก็จะไม่มีอารมณ์ หรืออาจเอ่ยปากบอกให้ทำอย่างโน่นอย่างนี้ก่อน เช่น
• รอเดี๋ยวนะที่รัก ขอไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยมีอะไรกัน
• วันนี้ไม่เอา ไม่ให้ใช้ปากทำ ยังไม่ได้อาบน้ำเลย
• มีเมนส์อยู่ ทำไม่ได้นะ สกปรกจะตาย
• พรุ่งนี้ไม่ได้ หรือคืนนี้ปวดหัว
นั่นก็คงจะเป็นหนังตัวอย่าง ที่บางครั้งผู้ชายคิดว่าเธอปฏิเสธที่จะมีสัมพันธ์สวาทกัน ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้คิดเลย เพียงแต่ขอให้รอก่อน ขอให้สะอาดก่อนเท่านั้นก็พอแล้ว เข้าใจเธอเสียหน่อย รู้จักหัดทำเป็นไม่เห็นเสียบ้าง ไม่ได้ยินเสียบ้าง และหัดไม่โต้ตอบในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เสียบ้าง คุณก็จะเป็นสุภาพบุรุษที่เธออยากจะรัก และร่วมรักด้วยทั้งกายและใจ
• เคล็ดลับการอยู่กับผู้หญิง
กล่าวว่า ผู้หญิงเกิดมาเพื่อแสวงหาความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคง และความจริงใจ จากคนที่เธอรัก เธออาจจะรักใครได้ยาก แต่เมื่อเธอแน่ใจในความรักที่เขามีต่อเธอแล้ว เธอก็จะรักเขาตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปร... เพราะนั่นเป็นธาตุแท้ของผู้หญิง แต่เธอชอบจู้จี้ขี้บ่น เอาใจยาก และชอบเปลี่ยนใจเรื่องโน้นเรื่องนี้บ่อยๆ บางครั้งตัดสินใจยาก และโลเลในเรื่องไม่เป็นเรื่อง... ยกเว้นความรักต่อชายคนที่เธอรักเท่านั้น ที่จะคงทนตลอดไป เพราะฉะนั้น ถ้าคุณผู้ชายค้นพบผู้หญิงคนที่คุณคิดจะใช้ชีวิตคู่ด้วยแล้ว และมั่นใจว่านั่นเป็นความรักแท้แล้ว ละก็ " รักเธอให้มากๆ เข้าใจเธอให้น้อยๆ แต่จริงๆเธออยากให้เข้าใจเธอให้มากๆ (จริงหใหม๊) " แล้วคุณก็จะมีความสุข

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552

เสน่ห์

เสน่ห์ทางกาย
เป็นเสน่ห์ที่เน้นพลังฝ่ายดึงดูดมากกว่าอย่างอื่น เช่นเห็นแล้วดึงดูดให้อยากมองนานๆ ยากจะถอนสายตา หรือกระทั่งอยากถลาเข้าไปลองสัมผัสให้ได้เดี๋ยวนั้น
เสน่ห์ทางกายปรากฏเด่นเห็นง่ายสุด จับต้องได้ง่ายสุด เพราะกายมนุษย์เปล่งประกายเสน่ห์ได้ผ่านความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐาน ตลอดจนความผ่องใสมีสง่าราศีแห่งผิวพรรณ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหรือพิธีรีตองใดๆ ในการเปล่งประกายเสน่ห์ชนิดนี้ แค่ปรากฏตัวก็ใช้ได้แล้ว
ความเปล่งปลั่งชนิดบาดตาได้ตั้งแต่แรกพบนั้น เป็นผลอันเกิดจากการให้ทานที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ไม่มีความขัดข้องทางใจเท่ายองใย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีโอกาสถวายทานแด่พระพุทธเจ้าหรืออริยะสงฆ์สาวก แล้วรักษาความเลื่อมใสนั้นไว้ได้ตลอดชีวิต ก็จะมีความรุ่งเรืองปรากฏชัดทางผิวหนังตั้งแต่ในชาติแห่งทานนั้น แล้วปรากฏชัดเจนในชาติถัดมา ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์
ความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐานจะเกิดจากความมีศีลสะอาดเป็นหลัก รายละเอียดและมิติของรูปร่างหน้าตาที่ล่อตาชวนตะลึง กลิ่นกายที่น่าพิสมัย ตลอดจนความละเอียดน่าสัมผัสของผิวหนังที่เหมาะกับเพศนั้น บันดาลขึ้นจากความสามารถในการ “งดเว้น” ความประพฤติทางกายและวาจาอันสกปรกเน่าเหม็นจนเคยชิน กระทั่งแม้ความคิดก็ไม่หลุดออกนอกกรอบของศีล พูดง่ายๆ ว่าเป็นผู้เคยมีศีลอันมั่นคงแข็งแรง จิตสะอาดสะอ้านจากมลทินยิ่ง จึงบันดาลให้เกิดผลงดงามไร้ที่ติ กระทบตาผู้คนแล้วชวนหลงไหลยิ่ง
คนที่ไม่ค่อยทำบุญกับบุคคลศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ มักมีอำนาจเสน่ห์ทางกายน้อย เนื่องจากโอกาสที่จิตจะเปล่งประกายความเลื่อมใสอย่างแรงกล้าขณะทำบุญนั้นยากนัก

เสน่ห์ทางวาจา
เป็นเสน่ห์ที่มีพลังฝ่ายประทับมากกว่าอย่างอื่น เช่น ฟังพูดแล้วติดหูไม่รู้ลืม ราวกับพลังเสียงและสำเนียงพูดบุกรุกเข้ามาฝังตัวและกลอกกลิ้งอยู่ในแก้วหูคนฟังได้ พอห่างกันแล้วถวิลถึงราวกับโดนเสน่ห์ยาแฝด
เสน่ห์ทางวาจาจะแผลงฤทธิ์เต็มที่ต่อเมื่อผู้พูดมีโอกาสฉายไม้เด็ดสักประโยคสองประโยค การโอภาปราศรัยทักทายเพียงคำสองคำอาจจะยังไม่ได้ผลนัก แต่หากได้ช่องสำแดงเดชเต็มกำลัง เสน่ห์ทางวาจาก็อาจชวนให้หวนคิดถึงได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายมาก เนื่องจากความทรงจำเกี่ยวกับส่ำเสียงและถ้อยคำจะยืนยาวกว่าความทรงจำเกี่ยวกับรูปลักษณ์
เสน่ห์ทางวาจาที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเห็นภาพง่ายที่สุดคงได้แก่วิธีรบเร้าหรือวิธีตื๊อของแต่ละคน บางคนตื๊อแล้วน่ารัก แต่หลายคนตื๊อแล้วน่ารำคาญ ทั้งที่ก็เป็นการรบกวนผู้ฟังเหมือนๆ กัน นี่ก็เพราะบางคนเท่านั้นที่มีพลังเสน่ห์ทางวาจา ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่มี
เสน่ห์ทางวาจามีองค์ประกอบหลายส่วน ซึ่งแต่ละส่วนก็เกิดจากกรรมเกี่ยวกับวาจาทั้งในอดีตและปัจจุบันรวมกันทั้งสิ้น องค์ประกอบหลักของเสน่ห์ทางวาจาจำแนกได้เป็น ๓ ส่วนดังนี้
๑) ความไพเราะของแก้วเสียง เกิดขึ้นจากความเป็นผู้มีวาจาสุจริต ทั้งพูดเรื่องจริงเท่าที่ควรพูด เลือกคำที่ฟังรื่นหูไม่หยาบคาย หาวิธีพูดประนีประนอมไม่เสียดสีใคร ตลอดจนครองสติในการพูดเพื่อประโยชน์ได้เสมอ องค์ประกอบหลักเหล่านี้จะปรุงแต่งแก้วเสียงให้ฟังดี ฟังเย็น และฟังมีพลังสะกด ถ้ายิ่งหมั่นสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญ ตลอดจนเปล่งเสียงประกาศธรรมอันชอบโดยไม่เคอะเขิน แก้วเสียงก็จะเปล่งประกายสดใสเพราะพริ้งได้ตั้งแต่ชาติปัจจุบัน และไปปรากฏผลชัดที่สุดในชาติถัดมา น้ำเสียงและสำเนียงจะกลมกล่อมไม่บาดหูเลย (เว้นไว้แต่จะหลงผิด พูดจาเป็นอัปมงคลนานปีจนกำลังของวจีทุจริตใหม่ชนะกำลังของวจีสุจริตเก่า)
๒) ลูกเล่นในการจำนรรจา เกิดขึ้นจากความเป็นผู้ใส่ใจเจรจาให้น่าเอ็นดู เป็นที่ถูกใจ ทำความบันเทิงสดใสแก่ผู้ฟัง ยกตัวอย่างเช่นพวกชอบเล่านิทานให้เด็กฟัง ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้สนุกสนาน ได้ข้อคิด และได้มองโลกในแง่ดีมีความอบอุ่น กรรมอันเกิดจากการฝึกเล่านิทานจริงจังจะบันดาลให้เกิดสัญชาตญาณในการมัดใจด้วยลีลาพูด คือรู้เองว่าด้วยลูกเล่นการออกเสียงสั้นยาว ลงเสียงหนักเบา ตลอดจนควบกล้ำอย่างไรให้ฟังน่ารักน่าใคร่ ชัดถ้อยชัดคำ พวกนี้ถ้าทำงานพากย์จะประสบความสำเร็จง่ายมาก และอาจจะไม่ต้องร่ำเรียนที่ไหนก็เก่งได้ยิ่งกว่ามืออาชีพที่คร่ำหวอดมานมนาน
๓) ความฉลาดเลือกคำ เกิดขึ้นจากความเป็นผู้คิดก่อนพูด ใช้สติในการง้างปากที่อ้ายาก ไม่ใช่ปล่อยให้อารมณ์บงการปากที่ไร้หูรูด ธรรมชาติของสตินั้น ยิ่งฝึกฝนให้เพิ่มมากขึ้นเท่าใด ปัญญาก็จะยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น
คนที่ไม่ค่อยใส่ใจกับการพูดนั้น นอกจากจะขาดเสน่ห์ทางวาจาแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดข้อน่ารังเกียจได้มากมาย เช่นคนพูดส่อเสียดและใส่ไคล้ผู้อื่นบ่อยๆมักมีกลิ่นปากเหม็นเน่า คนติดพูดคำหยาบคายกระโชกโฮกฮากมักมีสำเนียงเสียงไม่รื่นหูไม่ชวนฟัง เป็นต้น

เสน่ห์ทางกระแสจิต
เป็นเสน่ห์ชนิดที่มีพลังชะโลมได้มากกว่าอย่างอื่น เช่น แค่เข้าใกล้รัศมีใครบางคนคุณก็รู้สึกเยือกเย็น หรือกระทั่งเกิดความเงียบสงัดไร้ความคิดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม กระแสจิตของบางคนอาจเปี่ยมด้วยอิทธิพลแห่งพลังดึงดูดและพลังประทับได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายกับวาจารวมกันเสียอีก หากคุณเคยมีประสบการณ์ผ่านพบใครบางคน ที่คุณอยู่ใกล้ๆแล้วเกิดความอยากอยู่ใกล้ เมื่อห่างไปก็ถวิลถึง แม้รูปร่างหน้าตาของเขาไม่จัดว่าเลอเลิศ กับทั้งถ้อยทีเจรจาก็งั้นๆ นั่นแหละครับตัวอย่างของคนมีเสน่ห์ทางกระแสจิตขั้นรุนแรง
เสน่ห์แห่งกระแสจิตนั้น เป็นสิ่งเห็นไม่ได้ด้วยตา จับต้องไม่ได้ด้วยมือ ทว่าง่ายที่จะสัมผัสด้วยใจ และแม้คุณพบเจอจังๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าในเมื่อไม่เคยมีใครขอให้คุณอธิบาย คุณเลยไม่เคยฝึกจำแนกแยกแยะว่ากระแสจิตมีกี่ชนิด แต่ละชนิดมีพลังเสน่ห์จับใจได้แตกต่างกันสักแค่ไหน
จิตมนุษย์ที่กระจายออกมาให้สัมผัสได้นั้น มีกระแสพลังจากแหล่งต่างๆได้หลายหลาก อาทิเช่น พลังความคิด พลังจากมหากุศลที่ประกอบแล้ว พลังความสว่างทางปัญญาที่รู้ชอบในธรรมะ พลังสุขภาพ พลังของหน้าที่ พลังของอิทธิพลต่อหมู่คน พลังของที่อยู่อาศัย พลังของพาหนะส่วนตัว พลังของอัญมณี พลังของสัตว์ที่ผูกพันแน่นเหนียว พลังไสยศาสตร์ ตลอดไปจนกระทั่งพลังของเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง โดยย่นย่อกระแสจิตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีมีตัวตนของแต่ละคน
ผมอาจแจกแจงที่มาที่ไปและชนิดของเสน่ห์ทางกระแสจิตอย่างละเอียดเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้โดยเฉพาะ แต่ในที่จำกัดนี้คงกล่าวเพียงสังเขปในแง่ “วิธีคิดอันเป็นต้นตอเสน่ห์ทางกระแสจิต” เพราะเสน่ห์ทางกระแสจิตของมนุษย์ธรรมดาจะเป็นไปตามวิธีคิด สายความคิดของมนุษย์ทั่วไปจะไม่ค่อยขาดสาย จึงปรุงแต่งให้จิตเป็นไปต่างๆนานาได้มากกว่าปัจจัยอื่น

ขอยกเฉพาะวิธีคิดหลักๆที่ก่อรัศมีจิตอันเป็นเสน่ห์ดังนี้
๑) ความคิดเป็นเส้นตรงไม่หมกมุ่นวุ่นวน คือมีเป้าหมายปลายทางของความคิดชัดเจน มีลำดับที่จะไปให้ถึงจุดหมายอย่างแน่ชัด หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกราบรื่น ไม่วกวน และอยู่ใกล้คุณนานๆ อาจพลอยเกิดคลื่นความคิดเป็นระเบียบตามไปด้วย
๒) ความคิดที่เบากริบหรือเงียบเชียบ คือคิดเท่าที่จำเป็น สามารถเว้นวรรคความคิดเพราะรู้จักเสพสุขกับสิ่งอื่น เช่นภาพแมกไม้ เสียงน้ำตก หรือกระทั่งเฝ้าสังเกตการเข้าออกอย่างเรียบง่ายตามธรรมชาติของสายลมหายใจตนเอง หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกผ่อนคลายไม่อึดอัด อยู่ใกล้คุณอาจพลอยสงบผาสุกตามไปด้วยชั่วครู่ และหากคลุกคลีใกล้ชิดกับคุณนานพอ กลุ่มความคิดที่หนาแน่นของเขาอาจพลอยเบาบาง กลายเป็นคนไม่คิดมากตามคุณไปด้วยอย่างถาวร
๓) ความคิดมองโลกในแง่ดี คือมีมุมมองของความหวังด้านบวกเสมอ จึงเชี่ยวชาญในการสร้างทางออก ขณะที่คนทั้งโลกเชี่ยวชาญในการพาตัวไปสู่ทางตัน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกสว่างไสว ไม่มืดมน และอยู่ใกล้คุณนานๆอาจพลอยเกิดแรงบันดาลใจและความหวังใหม่ๆ ตามไปด้วย
๔) ความคิดเผื่อแผ่พร้อมจะเสียสละ คือมีความอยากให้มากกว่าอยากเอา สามารถเป็นผู้ริเริ่มในการให้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนวณเสียก่อนว่าจะได้รับสิ่งใดเป็นผลตอบแทน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เห็นคุณเป็นที่พึ่ง (ขอให้ทราบว่าความเป็นที่พึ่งกับความเป็นคนรับใช้นั้นต่างกันนิดเดียว ระหว่างให้แบบใจอ่อนยินยอมไปหมด กับให้แบบใจดีมีความน่าเกรงใจ ศิลปะของการให้อย่างหลังจะมีเสน่ห์ ขณะที่การให้อย่างแรกจะดูไร้ค่าหรือถึงขนาดน่ารังแก)
๕) ความมีใจเอ็นดูไม่คิดประทุษร้าย คือไม่แม้แต่จะแอบด่า แอบสาปแช่งคนหรือสัตว์ที่ตนเกลียด แต่มีเหตุผลบอกตนเองเสมอว่าทำไมจึงควรให้อภัย เห็นกระจ่างที่มาที่ไปอันน่าเห็นใจของคนแสนเลวสักคน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่หวาดระแวง และบังเกิดความปรารถนาดีต่อคุณ หากเกลียดหรือคิดทำร้ายคุณได้แปลว่าต้องมีใจพาลสันดานหยาบเอาเรื่องทีเดียว
๖) ความคิดมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไม่ท้อแท้ คือแม้พบอุปสรรคก็ไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น เพราะคิดหาทางรุกคืบไปข้างหน้าเข้าหาเส้นชัยหรือทางออกจากปัญหา ทำอะไรทำจริง พูดอะไรแล้วทำอย่างที่พูด ตั้งใจอะไรแล้วไม่ล้มเลิกง่ายๆ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงพลกำลัง ความเข้มแข็งไม่อ่อนแอ ความคมคายไม่ทื่อมะลื่อ เต็มไปด้วยความก้าวหน้าพัฒนาสู่ความสำเร็จลุล่วง
๗) ความคิดยับยั้งชั่งใจ คือแม้พบสิ่งยั่วยุให้ละโมบโลภมาก ก็ระงับความทะยานอยากเสียได้หากเห็นว่าไม่ถูกไม่ชอบ หรือแม้พบสิ่งยั่วยุให้พยาบาทอาฆาตแค้น ก็ระงับความหุนหันพลันแล่นอยากโต้ตอบด้วยความรุนแรงเสียได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงขันติ ความอดทนทางใจ
๘) ความคิดไม่เข้าข้างตัวเอง คือไม่หลงตัว ไม่ปกป้องตัวเอง เป็นคนดีจริงด้วยการรู้ตัวว่ายังมีจุดบอดหรือข้อเสียอันใดอยู่บ้าง ไม่ใช่ดีจริงด้วยการประกาศว่าข้าดีพร้อม ข้าทำอะไรไม่ผิดสักอย่าง ไม่คิดเข้าข้างตัวเองแม้ผิดพลาดทำชั่วบ้าง ก็มีระดับมโนธรรมสูงพอจะสำนึกผิดได้ด้วยตนเอง หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงสำนึกอันดีงามของมนุษย์ กระแสความสำนึกผิดและการรับผิดชอบอย่างอาจหาญจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นกล้าที่จะสำนึกผิด แล้วก็ไม่ต้องขัดแย้งกับตนเอง ไม่ต้องเกลียดตนเองด้วยกำแพงปกป้องตนเองอันน่ารังเกียจ
๙) ความคิดที่รื่นรมย์เบาสมอง คือความสามารถมองแง่ร้ายให้กลายเป็นตลกได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกพร้อมจะมีอารมณ์ขัน นึกสนุก ไม่เคร่งเครียด เต็มไปด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจตามไปด้วย
๑๐) ความคิดแบบผู้ชนะที่มีน้ำใจนักกีฬาและความปรานี ไม่มีใครอยากยืนอยู่ข้างคนแพ้ ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครอยากอยู่ใต้อำนาจคนชนะที่เหลิงหลงและหมิ่นศักดิ์ศรีผู้อื่น ผู้ชนะอาจอยู่ในเกมกีฬา เกมธุรกิจ ตลอดจนกระทั่งเกมกิเลส คือถ้าเอาชนะกิเลสยากๆของตนเองได้ก็จัดเป็นผู้ชนะได้เหมือนกัน และเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ด้วย หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกหลงใหลมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นจับตาจับใจได้ง่าย
วิธีคิดแบบอันเป็นตรงข้ามกับที่กล่าวมาข้างต้น จะบั่นทอนเสน่ห์ลง กล่าวคือกระแสความคิดจะเป็นแบบผลักไสให้ออกห่าง (ตรงข้ามกับพลังดึงดูดใจ) หรือแบบไม่ประทับลงในความทรงจำ (ตรงข้ามกับพลังประทับใจ) หรือแบบระคายเคือง (ตรงข้ามกับพลังชะโลมใจ) เช่นต่อให้มีเสน่ห์ทางกายและเสน่ห์ทางวาจา แต่ถ้าคิดฟุ้งซ่านมากๆเป็นนิตย์ ก็จะก่อคลื่นรบกวนคนใกล้ชิดให้ปั่นป่วนตาม อึดอัดที่จะต้องอยู่ใกล้ชิดนานๆ เป็นต้น

โรคห้ามใจไม่ได้

เคยเป็นบ้างไหมครับ ที่ต้องทำอะไรบางอย่างเพราะบังคับใจตัวเองไม่ได้ ก็รู้อยู่ว่าไม่ควรทำ แต่ก็ทำซ้ำๆ มีความต้องการที่จะทำซ้ำๆ เมื่อทำแล้วก็เสียใจบอกว่าจะไม่ทำอีก แต่ก็ยังทำต่อไป
วัยรุ่นบางคนบอกว่าบังคับใจไม่ให้รักเธอไม่ได้ ก็จะหัวปักหัวปำรักเธอต่อไป แม้ว่าเธอจะไม่รักเขา แต่เขาก็ยังรักเธอ ยังไปยืนรอหรือดักรอ ถึงแม้จะถูกว่าให้อายก็ยังทำ ก็เข้าข่ายทำไปเพราะบังคับใจไม่ได้
ผู้ใหญ่บางคนบอกว่าจะไม่ออกไปเที่ยวกลางคืน พอตกกลางคืนก็จะต้องออกไปเที่ยวทุกที แม้จะไม่มีเงินทองใช้จ่าย ก็ขอออกไปเดินดูในสถานที่เที่ยวกลางคืนที่เคยไปเที่ยวก็ยังดี ก็เข้าข่ายทำไปเพราะบังคับใจไม่ได้เช่นกัน
คนบางคนเจ้าระเบียบมาก ต้องการเป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) ย้ำคิดย้ำทำ ขาดการแสดงออกที่อบอุ่นต่อคนอื่น มักจะสนใจในรายละเอียดของคนอื่น หรือสนใจกฎเกณฑ์กติกาเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ใช่ปัญหาสำคัญ ต้องการให้คนอื่นทำตามเขาโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น พวกนี้จะอุทิศตนให้งานและผลงานของการทำงาน โดยไม่คำนึงถึงความสุขหรือคุณค่าของมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่น ส่วนใหญ่มักตัดสินใจไม่ค่อยได้หรือตัดสินใจช้า เพราะกลัวการตัดสินใจผิด เจ้าตัวก็ทุกข์ คนข้างๆ ตัวก็รำคาญ นี่ก็เข้าข่ายทำไปเพราะบังคับไม่ได้เช่นกัน
ความต้องการที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆ โดยบังคับใจไม่ได้นั้น ทางจิตเวชเรียกว่าเป็นพฤติกรรมย้ำทำ (Compulsion) เชื่อกันว่ามีรากฐานมาจากการพัฒนาตั้งแต่วัยเด็กที่ไม่เหมาะสม กล่าวคือ ในช่วงเด็กอายุ 2-3 ขวบนั้น เด็กจะมีความพอใจอยู่ที่ทวารหนัก เขาจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่าที่สามารถครอบครองอุจจาระได้ จะถ่ายก็ได้หรือจะกลั้นไม่ให้ถ่ายก็ได้ เป็นการแสดงความเป็นตัวของตัวเองได้ การกลั้นอุจจาระไว้เป็นการแสดงความก้าวร้าวชนิดหนึ่ง เพราะสามารถทำให้พ่อแม่ผิดหวังได้
วัยนี้เรียกว่าเป็น Anal Period เด็กจะรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของอุจจาระ เป็นความรู้สึกครอบครองสิ่งของครั้งแรก และเขาจะรู้สึกอยากเป็นเจ้าของอื่นๆ อีกด้วย เช่น ของเล่น
ถ้าความต้องการของเด็กถูกขัดขวาง เขาจะมีความคับข้องใจ (Frustration) เด็กวัยนี้ชอบการละเลงอุจจาระเล่นด้วย ถ้าพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงดุว่าเพราะรำคาญ หรือห้ามไม่ให้เล่นหรือทำโทษ เขาจะรู้สึกไม่พอใจ เกิดเป็นความคับข้องใจ อาจจะกลั้นอุจจาระบ่อยๆ หรือเกิดเป็นบุคลิกภาพที่ไม่ดีตามมา ที่เรียกว่าเป็น Anal Character เช่น เป็นคนหวงแหน เห็นแก่ได้ ขี้อาย ก้าวร้าว สกปรก เจ้าระเบียบ ใฝ่สมบูรณ์หรือมีความผิดปกติทางอารมณ์ต่อไป
พวกที่มีลักษณะความคับข้องใจจากการใช้ก้น (Anal Frustration) นี้ จะมีลักษณะบังคับใจตัวเองไม่ค่อยได้ ต้องทำอะไรบางอย่างซ้ำๆ เพราะบังคับใจตัวเองไม่ได้ บางกิจกรรมเป็นความทุกข์มากๆ
โรค "ต้องทำ…เพราะห้ามใจไม่ได้" บางอย่างเป็นความผิดปกติมากๆ เช่น บางคนมีความต้องการจะดื่มสุราตลอดเวลา (Dipsomania) หักห้ามใจตัวเองไม่ได้กลายเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
ความหมกมุ่นกับเรื่องของตัวเองอย่างผิดปกติ (Egomania) ย้ำคิดแต่เรื่องของตัวเอง ไม่สามารถเปลี่ยนแนวคิดไปสู่คนอื่นหรือธรรมชาติรอบๆ ตัวได้ พูดซ้ำๆ แต่เรื่องของตัวเองเป็นที่น่าเบื่อหน่าย รำคาญ แก่บุคคลรอบข้าง
หมกมุ่นกับเรื่องทางเพศอย่างมากผิดปกติ (Erotomania) วันหนึ่งๆ มีแต่เรื่องเพศ ทั้งความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรม เสียเวลามากและไม่สร้างสรรค์
ความต้องการขโมยของโดยบังคับใจไม่ได้ (Kleptomania) ผมเคยมีคนมาปรึกษาว่า เขามักไปหยิบของตามห้างโดยบังคับใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนมีเงินและเป็นลูกคนมีชื่อเสียง ซึ่งน่าเห็นใจมาก เป็นสิ่งผิดกฎหมายและถ้าถูกจับได้ก็เป็นเรื่องน่าอาย
ความคิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่โต มีอำนาจ (Megalomania) ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นคนธรรมดาสามัญ เข้าข่ายคุยโต คิดใหญ่โตเกินความเป็นจริงและคิดตลอดเวลา

การหมกมุ่นอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างผิดปกติ (Monomania)
ความต้องการที่จะร่วมเพศบ่อยๆ อย่างห้ามใจไม่ได้ในหญิง (Nymphomania) ความต้องการนี้สูงมาก และเธอจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ร่วมเพศ เช่น ให้ท่า ฉกฉวยโอกาส พบได้แม้แต่ในผู้หญิงชั้นสูง ร่ำรวยหรือมีการศึกษาดี
ความต้องการที่จะร่วมเพศโดยไม่สามารถยับยั้งได้ในชาย ก็เหมือนกับในเพศหญิงแลดูเป็นคนสำส่อน ห้ามใจไม่ได้ มักมากในเซ็กซ์ ไม่เคยหยุดและไม่เคยพอ
การอยากดึงผมหรือถอนผมอย่างบังคับใจไม่ได้ (Trichotillomania) บางคนถอนจนผมแหว่งเป็นวงกลม ต้องใส่ผมปลอม แต่ก็ยังห้ามใจไม่ให้ถอนผมไม่ได้ ต้องมาปรึกษาแพทย์
การห้ามใจไม่ได้นี้เป็นเรื่องน่าเห็นใจมาก และทรมานใจตัวเองที่ไม่สามารถห้ามใจได้ อาการก็มีตั้งแต่น้อยๆ จนถึงมากๆ ซึ่งเข้าข่ายเป็นความเจ็บป่วยทางจิต บางอย่างก็ผิดกฎหมาย บางอย่างก็น่าอับอาย
วิธีการรักษาและช่วยเหลือก็มีหลายวิธี ส่วนใหญ่จะใช้วิธีวิเคราะห์ทางจิตร่วมกับการใช้ยาช่วย และแนะนำให้มีวิธีระบายความก้าวร้าว หรือความย้ำทำอย่างเหมาะสม
ลองพิจารณาตัวเองซิว่ามีอะไรที่ย้ำทำบ้างไหม หรือมีสิ่งใดที่ต้องทำโดยไม่สามารถห้าใจตัวเองได้บ้างไหม ถ้าเลิกไม่ได้และเป็นอันตราย แก่ตัวเอง หรือน่าอับอาย ก็คงต้องปรึกษาจิตแพทย์แล้วละครับ
กรณีที่เข้ามาปรึกษาที่คลินิกบ่อยๆ ก็ได้แก่พวกที่ ถอนผมตัวเองบ่อยๆ ชนิดห้ามใจไม่ได้หยิบ หรือขโมยของตามห้างแบบห้ามใจไม่ได้ส่วนใหญ่บุคคลเหล่านี้มักจะมีฐานะดี ครอบครัวดี มีการศึกษา แต่จากการที่มีพ่อแม่เจ้าระเบียบมาก ชอบสั่งสอน ชอบตักเตือน หรือดุว่าลงโทษบ่อยๆ ตั้งแต่วัยเด็ก ทำให้เด็กมีความกลัวการทำผิด ขาดความสุขในการดำเนินชีวิต วิธีที่จะหนีจากความรู้สึกไม่เป็นสุขในชีวิตจึงเป็นวิธีที่เขาพัฒนาขึ้นมาอย่างผิดๆ
พวกที่ถอนผมเป็นประจำรู้สึกว่าได้ลงโทษตัวเองและพ่อแม่ไปด้วย เพราะตัวเองก็จะไม่สวยและพ่อแม่ก็ต้องอับอาย
พวกที่ขโมยของตามห้างก็เหมือนกับการทำผิดเพื่อให้พ่อแม่อายและตัวเองอาจจถูกลงโทษตามกฎหมายด้วย เป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้น ซึ่งก็รู้ว่าไม่ควรทำ มันไม่ถูกต้อง มันผิด แต่ในจิตใต้สำนึกจะต้องการถูกลงโทษ แม้ว่าจิตสำนึกจะรู้ตัวว่าการกระทำสิ่งนั้นเป็นความไม่เหมาะสม และรู้ว่าไม่ชอบการถูกลงโทษก็ตามที
อาการย้ำทำเพราะห้ามใจไม่ได้นี้ คนภายนอกจะมองว่าน่าเปลี่ยนแปลงได้ง่ายหรือช่วยเหลือรักษาได้ง่ายๆ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เพราะกลไกในการมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนี้ มีรากฐานมาจากการพัฒนาตั้งแต่วัยเด็กโดยเขาไม่รู้ตัว และสะสมเอาไว้นานมาก
การอบรมเลี้ยงดูลูกจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ลูกเติบโต สามารถพัฒนาจิตใจและพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม แต่ก็มีพ่อแม่ให้ความสนใจกันน้อยมาก ส่วนใหญ่จะนึกถึงการพัฒนาทางฝ่ายกาย หรือเชื่อเรื่องดวงชะตาของเด็กจากการทำนายทายทัก
ในสังคมเราจะเห็นผู้คนที่มีร่างกายสมบูรณ์ แต่เชื่อถือในสิ่งที่ลี้ลับกันมากขึ้นและมีจิตใจที่พัฒนาไม่เหมาะสมมากขึ้น ความเจ็บป่วยทางจิตใจหรือทางจิตเวชจะมีมากขึ้นๆ
คนยิ่งอายยิ่งไม่กล้าไปปรึกษาผู้รู้ ก็จะสะสมความเจ็บป่วยเอาไว้มากขึ้นๆ ขนาดคนดีๆ หลายๆ คน เตรียมไปอยู่โลกอื่นกันแล้ว เพราะเชื่อคำทำนายทายทักที่แปลกๆ
สังคมของคนคิดแปลกๆ และทำอะไรแปลกๆ จะมีมากขึ้นคอยดูซิ

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552

การลงวินโดวส์ใหม่

มีวิธีดังนี้
1. เปิดเครื่อง สั่ง BIOS ให้ boot จาก CD-ROM (boot from CD-ROMอันดับแรก)
หลังจาก save BIOS และ exit กดEnterแล้วเครื่องจะ restart
2. ใส่ แผ่น windows XP เข้าไปใน CD-ROM Drive
3. จะพบข้อความ press any key to boot from CD.. ให้กดปุ่ม Enter
เพื่อ boot เครื่องจาก CD-ROM Widows XP
4. จะมีการ copy ไฟล์หรือข้อมูลบางส่วน ให้คุณรอไปก่อน
5. เมื่อพบหน้าต่าง welcome to setup ให้เริ่มติดตั้งได้ทันทีโดยกดปุ่ม Enter เพื่อทำขั้นตอนต่อไป
6. จะปรากฏข้อความเกี่ยวกับการใช้งาน windows XP (หน้าจอเขียนว่า Windows XP Licensing)
ให้กดปุ่ม F8 เพื่อยอมรับรายละเอียดดังกล่าว
7. พอมาถึงขั้นตอนนี้ จะเป็นการเลือกติดตั้ง Windows XP ลงใน partition ใด
คุณจะพบคำสั่งให้เลือก 3 แบบคือ
-ติดตั้งใน partition ที่เลือกไว้ ให้ กด Enter
-สร้าง partition ใหม่กด C
-ลบ partition นั้นกด D
ผมสมมติว่าคุณจะเลือกลงใน partition ที่เลือกไว้คือ Drive C นะ
ให้คุณกด Enter เพื่อติดตั้งที่ Drive C
8. เลือกระบบไฟล์ที่ต้องการ โดยกดปุ่มลูกศรขึ้นลง หลังจากนั้นกด Enter
9. ปรากฏหน้าจอให้ format (to continue and format the partition ,press Enter) ให้กด Enter
10. Windows จะเริ่ม format
11. หลังจาก format แล้วมันก็จะ copy ข้อมูลลงใน HDD
12. หลังจากนั้นปรากฏหน้าจอ This partition of setup has completed……
ให้กดปุ่ม Enter เพื่อ restart เครื่อง
13. หลังจากเครื่องเริ่ม restart อย่ากดปุ่มใดๆ ให้รอจนกว่าจะขึ้นหน้าจอ Windows XP Professional
14. จะเห็นวินโดว์ตรวจสอบค่าต่างๆ พร้อมทั้งบอกข้อดีอะไรของมันไปตามเรื่อง
คุณก็อ่านเล่นๆ ไปพลางๆ ก่อนได้
15. รอสักหน่อยก็จะปรากฏหน้าต่าง Regional and language Option ออกมา คลิ๊กที่แท็บ Customize
16. คลิ๊กที่แท็บ languages
17. คลิ๊กถูกที่ข้อความ install files for complex scipt….แล้วตอบ OK
และคลิ๊กถูกที่ install files for East Asian language แล้วตอบ OK
18. จากนั้น คลิ๊กที่แท็บ advanced
19. เลือกภาษาไทย แล้วกด Apply เครื่องจะ copy ไฟล์ font ภาษาไทย (ขั้นตอนนี้ใจเย็นรอสักครู่)
20. หลังจากนั้นคลิ๊กที่แท็บ regional option แล้วเลือกไทย location ก็เลือกเป็น Thailand
21. คลิ๊ก next
22. จะปรากฏหน้าต่าง personalize Your software
ให้คุณตั้งชื่อตามใจที่คุณต้องการ ส่วนช่อง Organization เลือกพิมพ์เป็นอะไรก็ได้
23. คลิ๊ก next
24. กรอกหมายเลขแผ่น windows XP ซึ่งมี 25 ตัว
25. คลิ๊ก next
26. กรอกชื่อ computer ของคุณ ที่ช่อง computer name
27. ตั้ง password หรือไม่ตั้งก็ได้ตามใจ
28. คลิ๊ก next
29. ตั้งวันที่ให้ตรง ที่ time zone เลือก GMT +7 Bangkok,Hanoi,Jakata
30. คลิ๊ก next
31. เลือการติดตั้งแบบ Typical
32. คลิ๊ก next
33. กรอกข้อมูลเครือข่ายกรณีที่คุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายโดยใส่ชื่อเครือข่ายของคุณ
ถ้าคุณมี modem มันก็ให้คุณ set ค่าต่างๆ ขณะนั้นเลย คุณก็กรอกไป
34. คลิ๊ก next และรอต่อไปจนกระทั่งมัน restart ใหม่
35. อย่ากดปุ่มใดๆ ให้รอจนกระทั่งมันขึ้น logo Windows Xp professional
36. ถ้าเครื่องคุณเป็น VGA on Board มันก็จะปรับขนาดจอภาพให้คุณจนขึ้นมองได้ชัดเจนแล้วให้กด OK
แต่ถ้าเป็น VGA ต่างหากมันจะข้ามขั้นตอนนี้ไป
37. จะปรากฏหน้าจอ Welcome to………. .ให้คุณคลิ๊ก next ด้านล่างขวา
38. หากคุณต่อ internet มันจะเชื่อมต่อ internet เพื่อ update
แนะนำว่าข้ามขั้นตอนนี้ไปเลยโดยคลิ๊กที่ skip ซึ่งอยู่ด้านล่างขวา
39. จะปรากฏหน้าจอ ready to register with ….. ให้คุณเลือก No, not this time
40. คลิ๊ก next ด้านล่างขวา
41. จะปรากฏหน้าจอ who will use this computer? ให้คุณกรอกชื่อผู้ใช้ซึ่งมีให้กรอก 5 users
แต่คุณกรอกชื่อเดียวได้โดยชื่อนั้นห้ามซ้ำกับชื่อเครื่องที่คุณตั้งไว้ในข้อ 26
42. คลิ๊ก next ด้านล่างขวา
43. คลิ๊ก finish ด้านล่างขวา เป็นอันเสร็จ
44. หลังจากนั้นจะปรากฏหน้าจอใช้งานเป็นรูปทุ่งหญ้าวิวมี เมฆ ถ้าจำไม่ผิดจะมี icon ตัวเดียว
คือ recycle bin อยู่ที่มุมล่างขวา คุณสามารถเพิ่ม icon ใช้งานอื่นๆได้
โดย คลิ๊กขวาบริเวณพื้นที่ว่างเลือก properties แล้วคลิ๊กที่แท็บ Desktop
แล้วคลิ๊ก Customize Desktop (อยู่ใกล้ๆ ปุ่ม OK) จะปรากฏหน้าต่างDesktop Item
ที่แท็บ General ให้คุณคลิ๊กถูกที่ Desktop icon ที่คุณต้องการโชว์บนหน้า Desktop
หลังจากนั้นคลิ๊ก OK เป็นอันเรียบร้อย
หากซีพียูของคุณมีความเร็ว 700 เมกะเฮิร์ตขึ้นไป และมีหน่วยความจำอย่างน้อย 256 เมกะไบต์
(แน่ะนำ 256 เมกะไบต์ขึ้นไปยิ่งดีมากๆๆๆๆๆ) ฮาร์ดดิสก์ 20 กิกะไบต์ขึ้นไป
ไดรฟ์ซีดีรอม 24X ขึ้นไป การ์ดจอก็ควรจะมีหน่วยความจำสัก 64 เมกะไบต์
จะให้ดีเป็นการ์ดจอแบบ AGP 4X ,8Xด้วยล่ะก็ เยี่ยม!
โมเด็ม Soft V92 จะให้ดีไปกว่านั้นก็การ์ดเสียง PCI ลำโพงดีๆ สักคู่ ( นะจะบอกให้ๆๆๆๆๆๆๆๆ.........)

อีกวิธีคล้ายๆกัน

ถ้าเป็น Windows XP นะครับ จะ format เครื่อง ในกรณีของคุณ Zeesa หมายถึงการลง Windows ใหม่ ถ้าจะลง windows xp ใหม่ต้องเตรียมอุปกรณ์ดังต่อไปนี้นะครับ
1. แผ่น Boot Windows XP ก็คือแผ่น CD-Rom ติดตั้ง windows นั้นเองนะครับ โดยแผ่นนี้จะต้องเป็นแผ่น Boot ในตัวเองด้วย โดยมากแล้วจะเป็นแบบ Boot ในตัวแล้วนะครับ
2. สำรองข้อมูลออกจาก HDD ก่อน โดยวิธีเขียนลง CD หรือ copy ลงอีก HDD หนึ่งก็ได้ ง่ายที่สุดก็คือเขียนลง CD เก็บเอาไว้นะครับ ง่ายและปลอดภัยที่สุด
3. แผ่น Driver Mainboard, VGA Card, Sound Card และแผ่นโปรแกรมที่จำเป็นต้องใช้หลังจากลง วินโดวส์เสร็จ เช่น Office หรือ Application อื่นๆ

ขั้นตอนการลง windows นะครับ
1. ต้องรู้จัก BIOS เพราะเราต้อง set ให้เครื่องคอมฯ ของเรา Boot จาก CD-Rom เป็นหลัก โดยปกติ เครื่องโดยทั่วไปจะ Boot จาก Hdd เป็นหลัก ในกรณีที่ใช้งานปกตินะครบ แต่ถ้าต้องการลง OS ใหม่ เราต้อง กำหนด FirstBoot เป็น CD-Rom นะครับ แต่ Mainboard บางรุ่นสามารถกดคีย์ F8 หรือ F11 เพื่อเลือกลำดับการ Boot ได้ เช่น 1.CD-Rom, 2.Hdd, 3.Fdd, 4.Network แล้วจะรู้ได้ไงว่า ต้องกดคีย์อะไรถึงจะเป็นเมนูนี้ ให้สังเกตุตอนที่เราเปิดเครื่องตอนแรกนะครับ จะมีข้อความที่เน้น เด่นชัดเจน ว่าให้กดคีย์ตัวไหน เพื่อทำอะไร เช่น DEL key Setup BIOS นั้นก็คือ กดคีย์ Del เพื่อกำหนดหรือติดตั้ง BIOS ของ Mainboard ให้รีบกดตั้งแต่เห็นข้อความเลยนะครับ ถ้า Boot เข้าหน้าจอ windows แล้วจะใช้ไม่ได้นะครับ
จะรู้ได้ไงว่า Firstboot อยู่ที่ไหน คำว่า FirstBoot หมายถึงจะให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ค้นหาข้อมูลการBoot เครื่องจากอุปกรณ์ตัวไหน เช่น CD-Rom, Harddisk, NetWork ในกรณีที่เราต้องการลง OS ใหม่ให้เลือก FirstBoot เป็น CD-Rom นะครับ ลองหาดูในเมนูต่างๆ ใน BIOS นะครับ เพราะ Mainboard แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ เมนูอยู่คนละจุดกัน บางรุ่นก็สังเกตุเห็นได้ชัดเจน เช่นอยู่ที่เมนู Boot Select หรือบางรุ่นอยู่ที่เมนู Advance ใช้คีย์บอร์ด ปุ่มซ้าย,ขวา,ลง,ขึ้น เพื่อเลือกเมนู Enter เพื่อเลือกเมนู หรือ Esc เพื่อออกจากเมนู
ถ้าเจอเมนู Boot แล้วให้เปลี่ยน firstboot = CD-ROM นะครับ จำเมนูนี้ให้ดีนะครับ หรือจดเอาไว้ก็ได้ เพราะหลังจาก ลง OS เสร็จแล้ว เราต้อง set FirstBoot เป็น Hdd นะครับ เพื่อป้องการการผิดพลาดจากการใส่แผ่นค้างที่ CD-Rom เพราะลืมเอาแผ่นออกหลังจากเล่นเสร็จ ในกรณีที่บางแผ่นสามารถ Boot ได้ อาจจะทำให้เราต้องลง Windows ใหม่อีกก็ได้นะครับ และจะทำให้เครื่อง boot ได้เร็วขึ้นโดยที่ไม่ต้องไปค้นหาการ Boot จากแผ่น CD-Rom ก่อน
เลือกรายการ Boot ได้แล้ว ก็ให้กดคีย์ F10 นะครับ และยืนยันการSave ตอบ Yes จากนั้นเครื่องจะ reBoot ใหม่ ให้ใส่แผ่นติดตั้ง Windows ใน CD-Drive

2. หลังจากใส่แผ่นติดตั้ง windows เครื่องคอมฯจะ boot จาก cd-rom เข้าสู่โหมดการติดตั้ง OS การติดตั้ง จะมี 2 ข้อเลือกในการจัดการกับ HDD นะครับ คือ 1. เลือก Format เฉพาะ Partition ที่เป็น C: เพื่อลบข้อมูลเตรียมลง Windows ใหม่ หรือ 2. ลบ Partition ทั้งหมดใน Hdd เพื่อสร้าง Partition ใหม่ ในกรณีนี้ เราต้องแน่ใจว่าข้อมูลใน Hdd ทั้งหมดมีการสำรองเอาไว้แล้วหรือ เราไม่ต้องการข้อมูลใดๆใน Hdd ของเราอีกแล้ว
2.1 ถ้าเลือก Format เฉพาะ C: ให้อ่านตัวเลือกให้ดีนะครับ วิธีการ format ก็จะมี ชนิดของ Partition ให้เลือกอีกคือ NTFS หรือ FAT32 จะเลือกอันไหนดี สำหรับ Windows XP นะครับ ให้เลือก NTFS นะครับ
2.2 ถ้าต้องการลบข้อมูลทั้งหมดใน HDD เพื่อสร้าง Drive ใหม่ ในกรณีที่ติด Virus หรือไม่ต้องการข้อมูลทั้งหมด วิธีนี้จะดีที่สุดนะครับ จะทำให้เราได้เนื้อที่หรือสร้างเนื้อที่ในการเก็บข้อ มูลใหม่ทั้งหมด แล้วเราจะลบ Partion อย่างไร ให้ลบ Partition จากล่างสุดขึ้นไปนะครับ กดปุ่ม ขึ้นหรือลง เพื่อเลือก Partition จากนั้นกดคีย์ Del Partition นั้นจะหายไป แต่เนื้อที่ของ HDD จะเหลือเท่าเดิมนะครับ เมื่อลบหมดแล้ว ให้สร้าง Partition ใหม่ พื้นที่ C: จะมีขนาดโดยประมาณ 15GB - 20 GB นะครับ ถ้ามากกว่านี้จะทำให้ Boot หรือทำงานช้า เมื่อใช้งานนานๆ นะครับ
ขณะลง Windows ให้สังเกตุดูเมนู หรือ Option แต่ละข้อให้ดีนะครับ จะมี option ให้เราเลือก ถ้าทำได้ 2 ข้อนี้ การลง OS ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วครับ แต่ต้องอ่าน Eng ให้ดีหน่อยนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

ทำอย่างไรให้ใครๆ ชอบ

วัยรุ่นและหนุ่มสาวหลายคนขอร้องให้เขียนเรื่อง "ทำอย่างไรให้ใครๆ ชอบ" ก่อนจะเขียนเรื่องนี้ ก็จะต้องตกลงกันให้เข้าใจเสียแต่ต้นว่า คำว่า "ชอบ" กับ "รัก" ในภาษาไทยไม่ใช่คำเดียวกัน แต่เรามักใช้ผิดหรือปนเปกันไปหมด "ชอบ" แปลว่า พอใจ...ก็เท่านั้นเอง ยังไม่ลึกซึ้งเข้าไปถึงหัวใจ เราชอบกินแกงต้มยำ ไม่ได้แปลว่า เรารักแกงต้มยำ
เราชอบส้วมแบบนั่งชักโครก (คือไม่ชอบส้วมแบบนั่งยองๆ) ก็ไม่ได้แปลว่า เรารักส้วมแบบชักโครก แต่เรารักต้นไม้ได้ เพราะคนรักต้นไม้จะเอาใจใส่ ทะนุบำรุง ดูแล ห่วงใย และอยากปกป้องคุ้มครอง พูดสั้นๆ ถ้าเรารักอะไร เราเอาหัวใจทั้งดวงไปผูกพันกับสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าใครมาบอกคุณว่า เขาชอบคุณ ก็แปลว่า เขาอยู่แค่ชั้นพอใจคุณเท่านั้น อย่าคิดเลยเถิดเข้าข้างตัวเองว่า เขาจะเอาหัวใจทั้งดวงของเขามาผูกพันกับคุณ แต่เพื่อนนี่ชอบกันถ้าได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ก็จะกลายเป็นเพื่อนรักกันตลอดไปได้ จะเขียนเรื่องชอบอย่างเพื่อนก่อน วัยรุ่นไม่ชอบอะไรเยิ่นเย้อ ก็จะให้ข้อแนะนำทันทีเลยว่า ทำอย่างไรจะให้คนชอบคุณอย่างเพื่อน
1.ทำตัวเป็นธรรมชาติ
คนเราไม่ชอบคนเสแสร้ง คนเราไม่ชอบคนดัดจริตหรือคนวางท่า คนเราไม่ชอบคนวางท่าเป็นดารากับเพื่อน ความเป็นเพื่อนต้องการความจริงใจ คนวางท่าหยิ่ง หรือจีบปากจีบคอพูดเราไม่ชอบคนดัดจริตหรือคนวางท่า คนเราไม่ชอบคนวางท่าเป็นดารากับเพื่อน อาจดึงดูดความสนใจชั่วขณะแรกพบกัน แต่รับรองว่าไม่กี่ครั้ง เขาก็จะเบื่อและรำคาญ หรือถ้าเป็นเพื่อนเพศเดียวกัน เขาก็จะหมั่นไส้ไม่ชอบหน้า
2.สนใจฟังเขา ไม่พูดแต่เรื่องของตัวเอง
คนเป็นเพื่อนกันก็ต้องคุยเรื่องของตนเองให้เพื่อนฟังบ้าง แต่ต้องมีการแลกเปลี่ยนและสนใจเรื่องของเขา มากกว่าพูดแต่เรื่องของตัวเอง
3.อารมณ์ดี
คนเราไม่ชอบเข้าใกล้คนหงุดหงิด ขี้โมโห ฉุนเฉียว ยิ่งก้าวร้าวด้วยละก็นั่งเหงาไปคนเดียวเถอะ ถ้าคุณอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอๆ ต้องหาสาเหตุแล้วแก้ไข มิฉะนั้น คุณจะพบว่า คุณมีเพื่อนน้อยลงๆ เพราะเขาค่อยๆ ตีตัวออกห่างไปทีละคนสองคน เพื่อไปหาคนอารมณ์ดี ที่เขาอยู่ใกล้แล้วสบายใจ
4.รู้จัก "ให้" และ "รับ"
การให้และรับไม่ได้หมายความเฉพาะวัตถุ การช่วยเหลือเวลาเขามีความทุกข์ การช่วยเหลือการงานหรือการเรียน ฯลฯ ของเขาก็ถือเป็นการให้ เป็นการให้ที่มีค่ามากด้วยซ้ำไป
ที่แนะนำให้รู้จัก "รับ" ด้วยนั้น ก็เพราะผู้เขียนเห็นมามาก พอที่จะกล้ากล่าวว่า คนจิตใจปกติมักไม่ชอบคนที่ไม่ยอมรับอะไรจากใครเลย คนเราไม่ชอบคนที่ทำให้เรารู้สึกละอายใจ
5.มองโลกในแง่ดี
ถ้าคุณเห็นดอกไม้สวย เห็นเด็กๆ น่ารัก เห็นเพื่อนบางคนเก่ง เห็นครูบางคนดี ถ้าคุณมองทะลุสิวเขรอะของเพื่อนเข้าไปเห็นความร่าเริง และความมีน้ำใจของเขา ถ้าคุณพูดยกย่องความดีความสามารถของใครๆ มากกว่าพูดตำหนิ หรือนินทาเขา ใครๆ ก็จะอยากเข้าใกล้คุณ อยากคุยกับคุณ อยากเป็นเพื่อนของคุณ ฝึกตนเองให้มองโลกในแง่ดีแล้วมันจะติดเป็นนิสัยคุณไปตลอดชีวิต คนอยู่ใกล้ก็เป็นสุข แล้วจะถ่ายทอดไปถึงลูกหลานของคุณด้วย
6.อย่าบ่น อย่าบึ้ง อย่าเบ่ง อย่าเบี้ยว
บอก ต่างกับ บ่น เพราะว่าบอกคือ พูดสั้นๆ ไม่ใส่อารมณ์ และพูดหนเดียวพอ คนเราไม่ชอบฟังแผ่นเสียงตกร่อง เบี้ยว คือ ไม่รับผิดชอบหน้าที่ ไม่ทำตามสัญญา ขอยืมแล้วไม่ใช้ ฯลฯ นอกจากเขาจะไม่ชอบแล้ว เขาจะดูถูกและเมินหนีอีกด้วย ธรรมชาติมนุษย์ชอบเข้าใกล้คนหน้าตายิ้มแย้ม ทักทาย ทักเพื่อนก่อนได้กำไร เหมือนเปิดประตูเชิญให้เขาวิสาสะด้วย ถ้าทักเขาก่อนแล้วเขาไม่ทักตอบก็อย่าเสียใจ เขาอาจจะไม่เห็น อาจจะกำลังใจลอยคิดอะไรเพลินอยู่ หรือเขาอาจจะเป็นคนไม่มีมารยาท คุณยังอยากจะเสียเวลากับคนไม่มีมารยาทอยู่อีกหรือ?
บ่น คนรำคาญ
บึ้ง คนหนี
เบ่ง คนหมั่นไส้
เบี้ยว คนรังเกียจ
7.อย่านินทา
อย่าเอาคำว่า นินทา ไปปนกับคำวิจารณ์ นินทา เป็น พฤติกรรมทำลาย วิจารณ์ เป็น พฤติกรรมสร้างสรรค์ เพราะการวิจารณ์คือการพูดถึงข้อดี ข้อเสีย โดยใช้เหตุผลและไม่ใช้อารมณ์ การวิจารณ์ให้ประโยชน์ แต่การนินทาให้แต่โทษอย่างเดียว
8.อย่าชวนทำชั่ว
คนดีๆ ไม่ชอบคนที่มาฉุดให้เขาลงไปสู่ที่ต่ำ เช่น ลักขโมย สูบสารเสพติด ตีหัวหมาปาหัวเจ๊ก ฯลฯ จะมีก็แต่พวกบุคลิกภาพผิดปกติชนิดอันธพาลหรืออาชญากรเท่านั้นที่ชอบ
เพราะฉะนั้น ถ้าชวนคนดีๆ ทำชั่ว เขาจะรังเกียจและตีตนออกห่างทันที
9.ดูแลร่างกายให้น่าเข้าใกล้
คนผมไม่สระ เสื้อผ้าไม่ซักส่งกลิ่น ปากเหม็น กลิ่นตัวคลุ้ง จะนิสัยดีแค่ไหน เพื่อนก็ไม่อยากเข้าไปคุยด้วย เดินด้วย และอย่าลืมว่า กลิ่นน้ำหอมฉุนๆ ก็ร้ายพอๆ กับกลิ่นตัว ไม่ใส่น้ำหอมเลยยังจะดีกว่า คนเราชอบกลิ่นรื่นรมย์
หลังจากปฏิบัติทุกข้อข้างต้นครบถ้วนแล้ว คุณก็มีอีกข้อหนึ่งต้องทำคือ ต้องทำใจยอมรับความจริงอย่างหนึ่งของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจริงที่ว่านั่นก็คือ ตั้งแต่มีการสร้างโลกกันมา ยังไม่เคยมีใครสักคนเดียวที่จะทำให้ทุกคนในโลกชอบได้...ไม่มีจริงๆ ความคิดที่อยากจะให้ทุกคนในโลกชอบคุณ จึงเป็นความคิด ที่ไม่มีวันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ไม่ว่าคุณจะทุ่มกาย ทุ่มใจ ทุ่มเงินแค่ไหน ไปสืบดูเถิด เจ้าบุญทุ่มทุกคนยังไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบเขาได้ ไม่เคยมีนางงามจักรวาลโลกคนไหนสามารถทำให้ทุกคนชอบเธอได้ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณทำดีที่สุดของคุณแล้วก็จงพอใจ จงบอกตัวเองแล้วจดจำไว้สอนลูกหลานด้วยว่า ไม่มีใครในโลกจะทำให้ทุกคนในโลกชอบตนได้...ไม่มีจริงๆ
อย่างไรก็ตามคุณอย่าทิ้งความเป็นตัวของคุณเอง อย่าพยายามทำตัวให้ใครๆ ชอบเสียจนไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะนั่นก็เป็นข้อหนึ่งที่จะทำให้คนไม่ชอบคุณ
เริ่มลงมือปฏิบัติตามข้อแนะนำเสียแต่วันนี้คุณจะพบว่า นอกจากคุณจะมีเพื่อนชอบคุณมากขึ้นแล้ว คุณเองก็จะมีสุขภาพจิตดีขึ้นเสมอ เพราะทุกๆ ข้อที่กล่าวไว้เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะทำให้คนเราสุขภาพจิตดี

งานที่ยากที่สุด คือการคิด

เฮนรี่ ฟอร์ด ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ยี่ห้อฟอร์ดกล่าวไว้ว่า "งานที่ยากที่สุด คือการคิด จึงไม่ค่อยมีคนอยากจะคิดกันสักเท่าไร"
การคิดคือ สิ่งที่มนุษย์ทำได้ดีกว่าสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น ๆ ในโลกนี้ คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตต่างใช้ความสามารถนี้เพื่อทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น และสร้างชีวิตในแบบที่ตนต้องการ คุณ เท่านั้นที่สามารถริเริ่มสร้างสรรค์ ทัศนคติและ ความคิดต่าง ๆ ขึ้นได้ พลังความคิดนั้น เป็นสิ่งที่ ทั้งวิเศษ และก็น่ากลัว ในเวลา เดียวกัน แต่มนุษย์มีความสามารถด้านความ รู้สึก นึกคิดที่บางครั้งผู้อื่นก็ไม่เข้าใจ
แอนโธนี่ ร็อบบินส์ ได้เขียนหนังสือชื่อ "Unlimited Power" ขึ้นเพื่อขยาย ความเกี่ยวกับทฤษฎี Neuro Linguistic Programming ซึ่งเป็นทฤษฎี เรื่องอำนาจแห่งจิตใจ การควบคุม
อำนาจแห่งจิตใจและใช้อำนาจนี้ให้เกิดประโยชน์ ทฤษฎีนี้เดิมพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นระบบการสื่อ สารที่ใช้ระบบประสาทส่วนกลาง จากระบบดังกล่าวนี้ ร็อบบินส์จึงเขียน หนังสือขึ้นเพื่อชี้แนวทางในการปลดปล่อย อำนาจแห่งจิตใจนี้เพื่อให้คุณ บรรลุเป้าหมาย ที่ครั้งหนึ่งคุณเคยคิดว่าไกลเกินเอื้อม
ขั้นแรกในการใช้ประโยชน์จากความสามารถด้านจิตใจที่แท้จริงของคุณคือ คุณต้อง เข้าใจสิ่งที่ร็อบบินส์อ้างถึงในหนังสือของเขาในฐานะกลไกกระตุ้นทั้ง 7
>>1.ไฟ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงต่างก็มีพลังขับภายในตัวซึ่ง ต่างจาก ผู้อื่น พลังที่ว่านี้คือ ความปรารถนาอันล้ำลึก ที่เป็นเชื้อเพลิง ให้ก้าวไปสู่ความ สำเร็จ ได้ในที่สุด พลังนี้จะอยู่ในตัว พวกเขาตลอด 24 ชั่วโมง และไม่มีวัน เหือด หาย ไฟแห่งความมุ่งมั่นจะทำให้ผู้นั้น เต็มไป ด้วยความทะเยอทะยาน เขาจะไม่ยอม รามือจนกว่า จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวังไว้
>>2.ความเชื่อมั่น
เวอร์จิล กวีโรมันกล่าวไว้ว่า "ความเชื่อมั่นทำให้คนเราทำได้ทุกสิ่ง" คุณจะทำเงินได้ มากมาย หากคุณเชื่อมั่นว่าคุณทำได้ แต่ถ้าขาดความ เชื่อมั่นแล้ว ทุกอย่างก็จะดู ห่างไกลไปหมด สัจธรรมอย่างหนึ่งของชีวิต ก็คือ ขอบเขตความสามารถของ มนุษย์มาจากจิตใจ เมื่อจิตใจ เชื่อมั่นว่า ทำได้แล้ว ก็ไม่มีอะไรเกินความสามารถเลย ถ้าคุณขยายขอบเขต ความ เชื่อมั่นใน ความสามารถของคุณเองแล้ว ก็เท่ากับว่าคุณ ได้ ขยายขอบเขต ความสำเร็จ ของตนเองให้ กว้างขึ้นอีกด้วย ขอยกตัวอย่างชาย คนหนึ่ง ซึ่งมีชีวิต อยู่ท่ามกลางความยากลำบาก แต่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าสักวันจะประสบความสำเร็จ ต่อไปนี้คือชีวิตคร่าว ๆ ของเขา

>ล้มเหลวในการทำธุรกิจเมื่ออายุ 31
>แพ้การแข่งขันด้านกฎหมายเมื่ออายุ 32
>ล้มเหลวในการทำธุรกิจอีกครั้งเมื่ออายุ 34
>สูญเสียคู่ชีวิตเมื่ออายุ 35
>มีอาการได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง จนล้มป่วยเมื่ออาย 36
>แพ้การเลือกตั้งเมื่ออายุ 38
>พ่ายแพ้ไม่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเมื่ออายุ 43
>พ่ายแพ้ไม่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาอีกครั้งเมื่ออายุ 46
>พ่ายแพ้ไม่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเมื่ออายุเมื่ออายุ 48
>พ่ายแพ้ไม่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่ออายุ 55
>พลาดไม่ได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดีเมื่ออายุ 56
>พ่ายแพ้ไม่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาอีกครั้งเมื่ออายุ 58
>ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐเมื่ออายุ 60

>>3.กลยุทธ์
กลยุทธ์คือแผนเกมชีวิตของคุณ เปรียบเสมือนแผนที่ที่จะนำพาคุณ ไปสู่ความสำเร็จ ความเชื่อ มั่นอย่างเดียวคงไร้ผลหากขาดกลยุทธ์ ที่เหมาะสมไว้เป็นแนวทาง กลยุทธ์ ที่ดี จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จโดยไม่ทำให้ชีวิตหักเห และเป็นทางลัดสู่เป้าหมายที่สั้นที่สุด
>>4.ตั้งคุณค่าให้ชัดเจน
ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต เราสำรวจว่าเรามี ความรู้สึก อย่างไรต่อสิ่งเหล่านี้ เช่น ความรัก ความภูมิใจในตัวเอง อิสระ ความเป็นเลิศ ความ เป็นเจ้าของ ความรักชาติ และความโอนอ่อนผ่อนปรน เพราะสิ่งเหล่านี้คือ ค่านิยม ในสังคมที่คนทั่วไปใช้เป็นบรรทัดฐาน ในการ ตัดสินซึ่ง คนส่วนใหญ่เห็น ตรงกัน ว่าเป็นเรื่องสำคัญ หากเราไม่มี ความเชื่อ เรื่องคุณค่าที่ชัดเจนแล้ว การจะเชื่อ ในสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่มีค่าสำหรับเรา ก็เป็นเรื่องยาก เมื่อเราตั้งระบบความเชื่อ เรื่องคุณค่า ของเรา ได้แล้ว เราก็จะ สามารถ กำหนดวิถีทางที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ โดยมี พื้นฐาน มาจากความ สำคัญก่อนหลัง ที่เรามีต่อคุณค่าในด้านต่าง ๆ การให้ความ สำคัญ เรื่องคุณค่าจะทำให้เรามีแนวทางที่ชัดเจนขึ้น
>>5.เรี่ยวแรง
ร่างกายที่แข็งแรงคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จนอกจากนั้นเราก็ควรมีจิตใจและทัศนคติที่ "แข็งแรง" เช่นกันความลับสู่ร่างกายที่แข็งแรงพร้อมลุยก็คืออาหารที่มีประโยชน์เราจึงควรสร้างสุขนิสัยที่ดีในการกินและตีตัวออกห่างอาหารขยะจำพวกฟาสต์ฟูดทั้งหลายส่วนความแข็งแรงทางด้านจิตใจและสติปัญญานั้น มาจากสภาพแวดล้อม ที่ดีรอบตัวเรานั่นเอง
>>6.มนุษยสัมพันธ์
เราคงเคยเห็นคนที่สามารถเข้าได้ผู้อื่นได้ทุกคน ในการสร้างสัมพันธ์ กับผู้อื่นนั้น เราควรระลึกเสมอว่าคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงควรเคารพ ความแตกต่าง ระหว่างบุคคลและเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากที่สุด
>>7.อย่าให้ใจเป็นนาย
อย่าตกเป็นทาสของจิตใจ คุณควรใช้สมองเป็นหลักแทนที่จะปล่อย ให้จิตใจ เป็นตัวนำชีวิต เมื่อคุณควบคุมจิตใจของตนเองได้แล้ว เราก็จะสามารถ บังคับทั้งใจและกายให้สอดคล้องกัน และนำคุณสู่ความสำเร็จได้โดยง่าย