สมองของคนเรามีน้ำหนักประมาณเพียง 1.4 กิโลกรัม แต่นับว่าเป็นอวัยวะส่วนสำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย เพราะหากสมองไม่ทำงาน เราจะกลายเป็นเจ้าหญิงหรือ เจ้าชายนิทราไปโดยปริยาย โรคที่นับว่ากำลังสร้างสถิติการตายมาเป็นอันดับต้นๆ ในเวลานี้ คือโรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม กล่าวกันว่า คนอเมริกันใน 8 คนจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ 1 คน นอกเหนือจากการออกกำลังกายที่จะมีส่วนช่วยแล้ว ยังมีวิธีการลับสมองที่ช่วยในการพัฒนาความจำอย่างง่ายๆที่ใครๆก็สามารถทำได้ ดังนี้
การลับสมองส่วนความจำ สมองส่วนนี้จะทำหน้าที่ในการควบคุมกิจกรรมความจำทั้งหมด รวมถึงการอ่าน การมีเหตุผล การคิดไตร่ตรอง การสืบค้น และการตัดสินใจ เมื่อเราเริ่มมีอาการหลงลืม หรือมีการตัดสินใจผิดพลาด เราควรเริ่มการฝึกสมอง วิธีการง่ายๆที่จะช่วยคือ การหยิบสิ่งของในที่มืด การปิดไฟเข้าห้องน้ำ การแต่งตัวในที่มืด การรับประทานอาหารโดยใช้มือที่ไม่ถนัด หรือการเลือกฟังเพลงที่ไม่เคยได้ยินเนื้อร้องมาก่อน แล้วหัดร้องตามไปจนร้องได้ เพราะไม่แต่เพียงฝึกความจำเท่านั้น ยังเป็นการสร้างความสุขให้กับสมองด้วย เพราะสารเอ็นโดฟินหรือสารแห่งความสุขจะหลั่งออกมาด้วยในเวลาเดียวกัน
การลับสมองส่วนภาษา หรือสมองส่วนการเรียนรู้ทั้งความจำและความเข้าใจด้านหลักภาษา คำศัพท์ หลักไวยากรณ์ และความคล่องตัวในการใช้ภาษา วิธีการง่ายๆที่จะฝึกสมองส่วนนี้คือ หากเราชอบอ่านหนังสือพิมพ์ ลองเปลี่ยนเป็นนิตยสารบ้าง หรือเปลื่ยนจากคอลัมน์ที่เคยอ่านเป็นประจำเป็นคอลัมน์อื่นๆบ้าง เช่น ชอบอ่านคอลัมน์การเมือง อาจเปลี่ยนเป็นคอลัมน์สุขภาพบ้าง เป็นต้น การอ่านป้ายโฆษณา หรือ จากถุงใส่ของกลับบ้าน ก็นับว่าเป็นวิธีเพิ่มพูนทางภาษาที่สนุกไม่ใช่น้อย การดูทีวี ที่มีสองภาษา หากอ่านคำแปลที่กำกับมาด้วย ก็นับว่าเป็นวิธีที่น่าสนใจเพราะนอกจากจะได้รับความรู้เพิ่มเติมแล้ว ยังช่วยเพิ่มคำศัพท์ใหม่ๆ และเรียนรู้วิธีการเขียนที่แตกต่างกันอีกด้วย
การลับสมองส่วนสมาธิ สมองส่วนสมาธินี้จะควบคุมและสั่งการให้เราสามารถทำภาระกิจหลายๆอย่างได้ใน เวลาเดียวกัน หรือถ้าในขณะที่ทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง หากมีสิ่งใดมาขัดจังหวะหรือรบกวน สมองส่วนนี้ก็จะมีหน้าที่ให้เราสามารถทำกิจกรรมนั้นๆ ให้ลุล่วงไปได้ วิธีการลับสมองส่วนนี้คือการเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันที่เคยทำเป็นประจำ เช่น จัดห้องครัวใหม่ เปลี่ยนที่วาง จาน ช้อนส้อมที่ใหม่ แล้วฝึกสมองให้สามารถจำที่ใหม่ได้ หรือการบวกลบเลขท้ายรถของรถคันข้างหน้า ในขณะที่ขับรถ เป็นต้น
การลับสมองด้านการมองเห็น และมิติสัมพันธ์คือ สมองส่วนทิศทางและการสังเกตนั่นเอง วิธีง่ายๆในการลับสมองส่วนนี้คือ เมื่อไปเที่ยวสถานที่ใดที่หนึ่ง ให้จดจำว่าเราเดินไปที่ใดก่อน และทำกิจกรรมอะไรที่ใดบ้าง และเมื่อเรากลับออกมาเราเดินออกประตูไหน หลังจากนั้นเมื่อกลับไปสถานที่เดิมนั้นอีกให้ทำกิจกรรม ก่อนหลังตามลำดับอย่างที่เคยทำมาในครั้งที่มาครั้งแรกเป็นต้น หรือในขณะทีกำลังรอเพื่อน ให้ฆ่าเวลา โดยการมองไปข้างหน้าโดยใช้เวลาประมาณ2-3นาที แล้วเขียนลงบนกระดาษว่าเราเห็นสิ่งใดบ้าง คว่ำกระดาษที่เขียนลง แล้วลองเขียนอีกครั้ง ดูสิว่าจะได้ครบตามจำนวนเดิมหรือไม่
การ ฝึกสมอง โดยวิธีการลับสมองนั้นเป็นวิธีสร้างและขยายเซลล์ต่างๆในสมอง ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และเชื่อมโยงประสานสัมพันธ์กัน เป็นการเพิ่มรอยหยักให้สมองอย่างมีประสิทธิภาพ ลองฝึกทำดูนะคะ เพราะหากรอยหยักในสมองเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ก็หมายความว่าเราฉลาดมากขึ้นเท่านั้น
วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วิธีบริหารอารมณ์
ในการบริหารอารมณ์ (Emotional Regulation) เราต้องเรียนรู้และศึกษา
จราจรอารมณ์ เวลาเราพูดถึงจราจร นึกถึงไฟแดง ไฟเหลือง ไฟเขียว
เขาบอกเวลาที่เรามีวิกฤติทางอารมณ์ เช่น ความเครียด ความกลุ้ม ความ
น้อยใจ ความเสียใจ เขาบอกให้หยุดคิดในเรื่องนั้น เพราะอารมณ์เป็นผล
จากความคิด พอหยุดคิด ท่านก็หยุดอารมณ์ ถ้าท่านเปลี่ยนความคิด
อารมณ์ท่านก็เปลี่ยน ผมยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่าวันนี้่ท่านเดินออกจาก
บ้านเพื่อไปทำงาน วันนั้นท่านไม่อยากเอารถไป ระหว่างทางเจอรถเบนซ์
ขวางเรา จอดคร่อมฟุตบาธ เปิดประตูอีก ทำให้เราต้องเดินลงไปบนถนน
เสี่ยงต่อการถูกรถชนอีก เมื่อเราคิดลบ อารมณ์ที่มีต่อเจ้าของรถก็เป็น
อารมณ์ทางลบ ระหว่างผ่านไปถ้าเราถือของมีคม ก็อาจจะขูดได้ เพราะ
ฉะนั้นใครที่รถโดนขูด ระวังไว้ท่านอาจจะไปขวางทางอารมณ์ใครเข้าแล้ว
พอถูำกทดสอบด้วยรถคันนั้น คุณอาจจะหันกลับมาดูว่าใครกันที่เป็นเจ้าของ
รถคันนี้ ในขณะนั้น คุณเห็นเจ้าของรถอุ้มคนป่วย มีสายน้ำ
เกลือระโยงระยาง กำลังหอบหิ้วกันขึ้นรถ ความคิดคุณเปลี่ยน คนป่วย
กำลังจะหลุดมือ สายน้ำเกลือกำลังจะหลุด เราก็ต้องถลาไปช่วย พอความ
คิดเปลี่ยนอารมณ์ก็เปลี่ยน แต่ก่อนที่คุณจะเห็นภาพเขาอุ้มคนป่วย คุณคิด
อีกอย่าง อารมณ์อีกอย่าง แสดงว่า อารมณ์เป็นผลจากความคิด เพราะฉะนั้น
คุณอยากจะมีความสุข ให้คิดทางบวกเท่านั้นเอง มันเป็น Mechanism
ทางการทำงานของร่างกายเรานะครับ
อารมณ์เป็นผลจากความคิด เพราะฉะนั้น คุณอยากหยุดอารมณ์ ก็หยุดคิด
ในเรื่องนั้น แต่หากหยุดคิดไม่ได้ ให้หายใจลึกๆแทน เขาบอกว่าอยากลืม
กลับจำ ที่อยากจำกลับลืม เขาบอกการหายใจลึกๆ เป็นการเว้นจังหวะ
ของความคิด เพราะเวลาเราหายใจลึกๆ มันทำให้เราเกิดสมาธิ เวลาที่เรา
เครียด เราหายใจตื้นสั้น เพราะฉะนั้น เทคนิคในการที่จะทำให้เรามีความสุข
คือ ฝึกหายใจลึกๆ ฝึกหายใจยาวๆ ทำไมผู้ชายเวลาเครียดต้องอัดบุหรี่
เพราะได้อัดบุหรี่แรงๆ เป็นการหายใจลึกๆนั่นเอง แล้วก็ติดนิโคตินเข้าไปด้วย
ปอดบวมตามไปด้วย นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น วิธีที่จะจัดการอารมณ์ คือ พยายามฝึกหายใจ หายใจเข้ากลั้น
หายใจไว้ 10 วินาที หายใจออกลึกๆ นับ 1- 10 หายใจออกให้สุดๆ พยายาม
อยู่ว่างๆฝึกหายใจ เพราะบางทีเราหายใจไม่ถูก หายใจสั้นเกินไป หายใจตื้น
เกินไป ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พอ เพราะฉะนั้น จึงเกิดอาการง่วงหงาว
หาวนอน การกรนยิ่งมีปัญหา เพราะออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พอ สังเกตว่า
เวลาเครียด กลุ้มๆ ต้องถอนหายใจ การถอนหายใจคือการหายใจลึกๆอีกอย่าง
แสดงว่าร่างกายของเรามี Mechanism ปรับให้มัน Survive ให้อยู่รอด แต่ข้อ
เสียของการถอนหายใจก็คือ คนรอบข้างพลอยเซ็งไปด้วย
เราต้องมองชีวิตเป็น Process คนที่มีความทุกข์ คนที่มีความเครียด
เพราะมองชีวิตแบบ Static คือมองเป็นภาพนิ่ง คิดว่ามันเป็นอย่างไร มันจะต้อง
เป็นอย่างนั้นอยู่เรื่อยๆ ถ้าเราอกหักมันต้องอกหักอยู่เรื่อยไป มันไม่ใช่ ทุกอย่าง
มันเป็น Process การอกหักมันเป็นจุดหนึ่งในชีวิต มันเป็นหนังเรื่องยาว มันก็มี
หลายฉาก มีเศร้า มีดีใจ มีสมหวัง มีเสียใจ อย่าไปดูหนังแบบภาพนิ่ง เศร้าก็เศร้า
ทั้งปีทั้งชาติ แล้วก็มานั่งรำพึงรำพัน ทำไมฉันซวยอย่างนี้ ก็คุณคิดแต่ว่าซวย
มันก็ต้องซวย เพราะฉะนั้น คิดให้เป็น ดูหนังต้องดูทั้งหมด ไม่ใช่ดูภาพใดภาพหนึ่ง
แล้วสรุปว่าหนังม้วนนั้นทั้งเรื่องเป็นอย่างนี้
มนุษย์เราชอบด่วนสรุป เห็นแค่ภาพตอนเดียว แล้วสรุปว่าภาพทั้งเรื่องต้องเป็น
อย่างนี้แล้วจะว่าหนังไม่ดี เราโง่เองต่างหาก เพราะฉะนั้นต้องดูให้มันเป็น
เราควรมีที่พักริมทาง หาทางชื่นชมกับตัวเอง บางคนมีความสุขกับการกิน
เราก็กิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากินจนปล่อยให้น้ำหนักเกิน ต้องออกกำลังกาย
แต่ไม่ใช่อดอยาก จนอะไรก็ไม่กิน
เวลาเจออะไรไม่ดี คุณสามารถมองอีกมุมหนึ่งได้ โดยทั่วไปจะเป็นเรื่องยาก
สำหรับบางคน มองโลกแง่ดีเหมือนการโกหกตัวเอง ในเรื่องของ AQ เราจะ
ฝึกเรื่องการมองโลกแง่ดี การขับรถหลงทาง ถ้าเรามองโลกในแง่ร้าย จะเป็น
การเสียเวลา เปลืองน้ำมัน แต่ถ้ามองโลกในแง่ดี คือได้รู้จักทางใหม่ บางที
ได้รู้จักร้านอาหารใหม่ๆ เพราะขับรถหลงทางไปเจอ และได้อยู่ด้วยกันกับ
คนรักในรถนานๆ
มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ที่ผมเชื่อว่าพวกเรารู้จักกันเป็นอย่างดี Thomas
Edison เป็นคนที่สร้างหลอดไฟ ตอนที่เขา อายุ 67 ห้องทดลองของเขา
ซึ่งมีสิ่งมีสิ่งประดิษฐ์มีค่ามากมายที่เขาใช้เวลาผลิตมาตลอดชีวิต เกิดไฟใหม้
หมดเลย ลูกชายของเขาเข้าไปปลอบใจพ่อว่า ผมสงสารพ่อเหลือเกิน
สิ่งที่พ่อสร้างมาถูกไฟใหม้หมดแล้ว Thomas Edison หัวเราะบอกพ่อไม่เสียใจ
เลย รีบไปเรียกแม่มาดู ไฟใหม้ห้องทดลองของพ่อซึ่งชาตินี้ทั้งชาติอาจจะไม่มี
โอกาสเห็นความงดงามอย่างนี้ รีบมาดู นี่คือการที่พระเจ้าเปิดโอกาสให้พ่อมี
เวลาเสริมสร้างสิ่งใหม่ๆ และปีถัดไป Thomas Edison ก็ได้สร้างเครื่องเล่น
แผ่นเสียงขึ้นมาได้สำเร็จ นี่คือวิธีการมองปัญหา ถ้าเป็นเราสร้างมาทั้งชาติ
คนอายุ 67 จะมีปัญญาสร้างอะไรอีก ถ้าคุณตีโพยตีพาย ห้องแล็บมันก็ไม่กลับมา
การที่คุณเสียใจ อาจจะเจ็บป่วยไม่มีแรงที่จะทำอะไรอีกต่อไป แต่ถ้าคุณ
มองโลกในแง่ดี พระเจ้าให้โอกาสคุณเพื่อเสริมสร้างสิ่งใหม่ๆ จะได้ไม่เสียเวลา
มาภูมิใจในสิ่งของเดิมๆ นี่คือวิธีการมองโลกในแง่ดี
จราจรอารมณ์ เวลาเราพูดถึงจราจร นึกถึงไฟแดง ไฟเหลือง ไฟเขียว
เขาบอกเวลาที่เรามีวิกฤติทางอารมณ์ เช่น ความเครียด ความกลุ้ม ความ
น้อยใจ ความเสียใจ เขาบอกให้หยุดคิดในเรื่องนั้น เพราะอารมณ์เป็นผล
จากความคิด พอหยุดคิด ท่านก็หยุดอารมณ์ ถ้าท่านเปลี่ยนความคิด
อารมณ์ท่านก็เปลี่ยน ผมยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่าวันนี้่ท่านเดินออกจาก
บ้านเพื่อไปทำงาน วันนั้นท่านไม่อยากเอารถไป ระหว่างทางเจอรถเบนซ์
ขวางเรา จอดคร่อมฟุตบาธ เปิดประตูอีก ทำให้เราต้องเดินลงไปบนถนน
เสี่ยงต่อการถูกรถชนอีก เมื่อเราคิดลบ อารมณ์ที่มีต่อเจ้าของรถก็เป็น
อารมณ์ทางลบ ระหว่างผ่านไปถ้าเราถือของมีคม ก็อาจจะขูดได้ เพราะ
ฉะนั้นใครที่รถโดนขูด ระวังไว้ท่านอาจจะไปขวางทางอารมณ์ใครเข้าแล้ว
พอถูำกทดสอบด้วยรถคันนั้น คุณอาจจะหันกลับมาดูว่าใครกันที่เป็นเจ้าของ
รถคันนี้ ในขณะนั้น คุณเห็นเจ้าของรถอุ้มคนป่วย มีสายน้ำ
เกลือระโยงระยาง กำลังหอบหิ้วกันขึ้นรถ ความคิดคุณเปลี่ยน คนป่วย
กำลังจะหลุดมือ สายน้ำเกลือกำลังจะหลุด เราก็ต้องถลาไปช่วย พอความ
คิดเปลี่ยนอารมณ์ก็เปลี่ยน แต่ก่อนที่คุณจะเห็นภาพเขาอุ้มคนป่วย คุณคิด
อีกอย่าง อารมณ์อีกอย่าง แสดงว่า อารมณ์เป็นผลจากความคิด เพราะฉะนั้น
คุณอยากจะมีความสุข ให้คิดทางบวกเท่านั้นเอง มันเป็น Mechanism
ทางการทำงานของร่างกายเรานะครับ
อารมณ์เป็นผลจากความคิด เพราะฉะนั้น คุณอยากหยุดอารมณ์ ก็หยุดคิด
ในเรื่องนั้น แต่หากหยุดคิดไม่ได้ ให้หายใจลึกๆแทน เขาบอกว่าอยากลืม
กลับจำ ที่อยากจำกลับลืม เขาบอกการหายใจลึกๆ เป็นการเว้นจังหวะ
ของความคิด เพราะเวลาเราหายใจลึกๆ มันทำให้เราเกิดสมาธิ เวลาที่เรา
เครียด เราหายใจตื้นสั้น เพราะฉะนั้น เทคนิคในการที่จะทำให้เรามีความสุข
คือ ฝึกหายใจลึกๆ ฝึกหายใจยาวๆ ทำไมผู้ชายเวลาเครียดต้องอัดบุหรี่
เพราะได้อัดบุหรี่แรงๆ เป็นการหายใจลึกๆนั่นเอง แล้วก็ติดนิโคตินเข้าไปด้วย
ปอดบวมตามไปด้วย นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น วิธีที่จะจัดการอารมณ์ คือ พยายามฝึกหายใจ หายใจเข้ากลั้น
หายใจไว้ 10 วินาที หายใจออกลึกๆ นับ 1- 10 หายใจออกให้สุดๆ พยายาม
อยู่ว่างๆฝึกหายใจ เพราะบางทีเราหายใจไม่ถูก หายใจสั้นเกินไป หายใจตื้น
เกินไป ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พอ เพราะฉะนั้น จึงเกิดอาการง่วงหงาว
หาวนอน การกรนยิ่งมีปัญหา เพราะออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่พอ สังเกตว่า
เวลาเครียด กลุ้มๆ ต้องถอนหายใจ การถอนหายใจคือการหายใจลึกๆอีกอย่าง
แสดงว่าร่างกายของเรามี Mechanism ปรับให้มัน Survive ให้อยู่รอด แต่ข้อ
เสียของการถอนหายใจก็คือ คนรอบข้างพลอยเซ็งไปด้วย
เราต้องมองชีวิตเป็น Process คนที่มีความทุกข์ คนที่มีความเครียด
เพราะมองชีวิตแบบ Static คือมองเป็นภาพนิ่ง คิดว่ามันเป็นอย่างไร มันจะต้อง
เป็นอย่างนั้นอยู่เรื่อยๆ ถ้าเราอกหักมันต้องอกหักอยู่เรื่อยไป มันไม่ใช่ ทุกอย่าง
มันเป็น Process การอกหักมันเป็นจุดหนึ่งในชีวิต มันเป็นหนังเรื่องยาว มันก็มี
หลายฉาก มีเศร้า มีดีใจ มีสมหวัง มีเสียใจ อย่าไปดูหนังแบบภาพนิ่ง เศร้าก็เศร้า
ทั้งปีทั้งชาติ แล้วก็มานั่งรำพึงรำพัน ทำไมฉันซวยอย่างนี้ ก็คุณคิดแต่ว่าซวย
มันก็ต้องซวย เพราะฉะนั้น คิดให้เป็น ดูหนังต้องดูทั้งหมด ไม่ใช่ดูภาพใดภาพหนึ่ง
แล้วสรุปว่าหนังม้วนนั้นทั้งเรื่องเป็นอย่างนี้
มนุษย์เราชอบด่วนสรุป เห็นแค่ภาพตอนเดียว แล้วสรุปว่าภาพทั้งเรื่องต้องเป็น
อย่างนี้แล้วจะว่าหนังไม่ดี เราโง่เองต่างหาก เพราะฉะนั้นต้องดูให้มันเป็น
เราควรมีที่พักริมทาง หาทางชื่นชมกับตัวเอง บางคนมีความสุขกับการกิน
เราก็กิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากินจนปล่อยให้น้ำหนักเกิน ต้องออกกำลังกาย
แต่ไม่ใช่อดอยาก จนอะไรก็ไม่กิน
เวลาเจออะไรไม่ดี คุณสามารถมองอีกมุมหนึ่งได้ โดยทั่วไปจะเป็นเรื่องยาก
สำหรับบางคน มองโลกแง่ดีเหมือนการโกหกตัวเอง ในเรื่องของ AQ เราจะ
ฝึกเรื่องการมองโลกแง่ดี การขับรถหลงทาง ถ้าเรามองโลกในแง่ร้าย จะเป็น
การเสียเวลา เปลืองน้ำมัน แต่ถ้ามองโลกในแง่ดี คือได้รู้จักทางใหม่ บางที
ได้รู้จักร้านอาหารใหม่ๆ เพราะขับรถหลงทางไปเจอ และได้อยู่ด้วยกันกับ
คนรักในรถนานๆ
มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ที่ผมเชื่อว่าพวกเรารู้จักกันเป็นอย่างดี Thomas
Edison เป็นคนที่สร้างหลอดไฟ ตอนที่เขา อายุ 67 ห้องทดลองของเขา
ซึ่งมีสิ่งมีสิ่งประดิษฐ์มีค่ามากมายที่เขาใช้เวลาผลิตมาตลอดชีวิต เกิดไฟใหม้
หมดเลย ลูกชายของเขาเข้าไปปลอบใจพ่อว่า ผมสงสารพ่อเหลือเกิน
สิ่งที่พ่อสร้างมาถูกไฟใหม้หมดแล้ว Thomas Edison หัวเราะบอกพ่อไม่เสียใจ
เลย รีบไปเรียกแม่มาดู ไฟใหม้ห้องทดลองของพ่อซึ่งชาตินี้ทั้งชาติอาจจะไม่มี
โอกาสเห็นความงดงามอย่างนี้ รีบมาดู นี่คือการที่พระเจ้าเปิดโอกาสให้พ่อมี
เวลาเสริมสร้างสิ่งใหม่ๆ และปีถัดไป Thomas Edison ก็ได้สร้างเครื่องเล่น
แผ่นเสียงขึ้นมาได้สำเร็จ นี่คือวิธีการมองปัญหา ถ้าเป็นเราสร้างมาทั้งชาติ
คนอายุ 67 จะมีปัญญาสร้างอะไรอีก ถ้าคุณตีโพยตีพาย ห้องแล็บมันก็ไม่กลับมา
การที่คุณเสียใจ อาจจะเจ็บป่วยไม่มีแรงที่จะทำอะไรอีกต่อไป แต่ถ้าคุณ
มองโลกในแง่ดี พระเจ้าให้โอกาสคุณเพื่อเสริมสร้างสิ่งใหม่ๆ จะได้ไม่เสียเวลา
มาภูมิใจในสิ่งของเดิมๆ นี่คือวิธีการมองโลกในแง่ดี
ค้นหาความเป็นอัจฉริยะในตัวคุณ
มุมมองของนักจิตวิทยายุคใหม่มองว่า การที่คนเราจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับไอคิว (IQ), อีคิว (EQ) หรือเอคิว (AQ) เท่านั้น แต่ยังต้องประกอบด้วย 6Qs
จึง จะทำให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จในชีวิต และมีความสุขได้อย่างแท้จริง ผศ.ธีระศักดิ์ กำบรรณารักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา เปิดเผยว่า 6Qs ประกอบด้วย
1.IQ (Intelligence Quotient) อัจฉริยะความเก่ง
2.EQ (Emotional Quotient) อัจฉริยะความสุข
3.AQ (Adversity Quotient) อัจฉริยะความสำเร็จ
4.MQ (Moral Quotient) อัจฉริยะความเข้มแข็ง
5.HQ (Health Quotient) อัจฉริยะความดี
6.SQ (Spiritual Quotient) อัจฉริยภาพสูงสุด
ผู้ ที่มี 6Qs หมายถึงผู้ที่มี "อัจฉริยภาพ" และอัจฉริยภาพที่สมบูรณ์จะต้องประกอบด้วย 2 คำ คือ Potential หรือศักยภาพ หมายถึง ความสามารถที่พึงมี คนเรามีศักยภาพมากมายที่บางทีเราเองก็ไม่รู้ และคำว่า Performance หรือผลการปฏิบัติงานของเรา ในทางจิตวิทยาเราเชื่อว่า Potential ของแต่ละคนมีมากกว่า Performance เพียงแต่เราไม่มีโอกาสดึง Potential ออกมาใช้ตามความสามารถที่เราพึงมีได้ และคนเราใช้ Potential แค่ประมาณ 30-35 เปอร์เซ็นต์ ของศักยภาพที่เรามีอยู่เท่านั้น นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราต้องศึกษาหาความรู้เพื่อที่จะดึงพลังที่เรามี อยู่ในตัวออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่
คุณมีอัจฉริยภาพซ่อนอยู่ในตัวคุณแค่ไหน ลองตอบคำถามง่ายๆ จากแบบทดสอบ แล้วคุณจะได้ค้นพบอัจฉริยภาพที่มีอยู่ในตัวคุณ
1. คุณสื่อสารกับชาวบ้านแล้วรู้เรื่องแค่ไหน ซึ่งแสดงถึงอัจฉริยภาพด้านแรก คือ ความสามารถในการใช้ภาษาและการสื่อสาร ปกติอัจฉริยภาพด้านนี้จะเป็นตัวบ่งบอก IQ ของคนเรา ดังนั้นการสื่อสารหรือการใช้ภาษาถือเป็นอัจฉริยภาพอย่างหนึ่ง
2.ร่างกายคุณแข็งแรงและปราดเปรียวแค่ไหน ลองเดินขึ้นบันได 3 ชั้น หากร่างกายแข็งแรงปราดเปรียว คุณคงเดินขึ้นได้อย่างสบายๆ
3. คุณสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อมได้รวดเร็วแค่ไหน มีจินตนาการอย่างไร สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนแค่ไหน ไอน์สไตน์บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ความรู้เพียงแค่ผ่านหูผ่านตาเรา แต่จินตนาการเป็นสิ่งที่เราต้องฝึก
4.คุณทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตน เองในแต่ละวันหรือเปล่า ข้อนี้แสดงถึงความถนัดทางด้านคณิตศาสตร์ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นนักคณิตศาสตร์ที่เก่ง หรือไม่ก็เป็นนักบัญชีที่เก่ง หรือจะต้องมีนักบัญชีที่เก่งคอยช่วยเหลือ
5.คุณรู้จักตัวเองแค่ไหน ข้อนี้เป็นอัจฉริยภาพอีกด้านหนึ่ง คนรู้จักคนอื่นเป็นความฉลาด แต่การรู้จักตัวเองเป็นอัจฉริยะ
6. คุณเข้าใจผู้อื่น มีมนุษยสัมพันธ์ดีแค่ไหน การมีมนุษยสัมพันธ์ถือเป็นอัจฉริยภาพที่ต้องใช้ความสามารถต่างๆ รวมกันหลายด้าน ทั้งทางด้านการคิดวิเคราะห์ว่าจะพูดคุยกับเขาอย่างไรให้เขาพอใจ ทำอย่างไรให้รู้จักผู้อื่น และพอใจในผู้ที่เราสัมพันธ์ด้วย
7.ชอบ ธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติหรือเปล่า คนที่มีความลึกซึ้งกับธรรมชาติ ต้องมีอัจฉริยภาพที่จะสัมผัสถึงสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติทั้งหลายได้อย่างถึง แก่น ดั่งคำกล่าวของนักปราชญ์ที่ว่า "ถ้าหากต้องการมีความสุขตลอดชีวิตให้อยู่กับธรรมชาติ"
8.เวลาคุณฟังเพลงมีความสุขหรือเปล่า ร้องเพลงเล่นดนตรีได้ไหม ไพเราะหรือเปล่า หากได้ก็ถือว่าคุณมีความเป็นอัจฉริยภาพด้านดนตรีนั่นเอง
ได้ ทดสอบความมี อัจฉริยภาพ ด้านต่างๆ ของคุณกันแล้ว แต่หากขาดข้อไหนไปก็ไม่ใช่เรื่องยากที่คุณจะเสริมสร้างและพัฒนา Q ต่างๆ ร่วมพัฒนา 6Qs ของคุณเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นอัจฉริยะตัวจริงกับ หนังสือชนะชีวิต คิดอย่างอัจฉริยะ (Genius 6Qs) โดย ผศ.ธีระศักดิ์ กำบรรณารักษ์ นักจิตวิทยา เชี่ยวชาญด้าน AQ และ EQ แล้วคุณจะได้รู้ว่าอัจฉริยภาพสูงสุดไม่ได้เกี่ยวกับวัย ไม่ใช่แค่เด็กที่ฝึกได้ แต่คุณเองก็สามารถฝึกและเป็นอัจฉริยะได้เช่นกัน
จึง จะทำให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จในชีวิต และมีความสุขได้อย่างแท้จริง ผศ.ธีระศักดิ์ กำบรรณารักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา เปิดเผยว่า 6Qs ประกอบด้วย
1.IQ (Intelligence Quotient) อัจฉริยะความเก่ง
2.EQ (Emotional Quotient) อัจฉริยะความสุข
3.AQ (Adversity Quotient) อัจฉริยะความสำเร็จ
4.MQ (Moral Quotient) อัจฉริยะความเข้มแข็ง
5.HQ (Health Quotient) อัจฉริยะความดี
6.SQ (Spiritual Quotient) อัจฉริยภาพสูงสุด
ผู้ ที่มี 6Qs หมายถึงผู้ที่มี "อัจฉริยภาพ" และอัจฉริยภาพที่สมบูรณ์จะต้องประกอบด้วย 2 คำ คือ Potential หรือศักยภาพ หมายถึง ความสามารถที่พึงมี คนเรามีศักยภาพมากมายที่บางทีเราเองก็ไม่รู้ และคำว่า Performance หรือผลการปฏิบัติงานของเรา ในทางจิตวิทยาเราเชื่อว่า Potential ของแต่ละคนมีมากกว่า Performance เพียงแต่เราไม่มีโอกาสดึง Potential ออกมาใช้ตามความสามารถที่เราพึงมีได้ และคนเราใช้ Potential แค่ประมาณ 30-35 เปอร์เซ็นต์ ของศักยภาพที่เรามีอยู่เท่านั้น นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราต้องศึกษาหาความรู้เพื่อที่จะดึงพลังที่เรามี อยู่ในตัวออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่
คุณมีอัจฉริยภาพซ่อนอยู่ในตัวคุณแค่ไหน ลองตอบคำถามง่ายๆ จากแบบทดสอบ แล้วคุณจะได้ค้นพบอัจฉริยภาพที่มีอยู่ในตัวคุณ
1. คุณสื่อสารกับชาวบ้านแล้วรู้เรื่องแค่ไหน ซึ่งแสดงถึงอัจฉริยภาพด้านแรก คือ ความสามารถในการใช้ภาษาและการสื่อสาร ปกติอัจฉริยภาพด้านนี้จะเป็นตัวบ่งบอก IQ ของคนเรา ดังนั้นการสื่อสารหรือการใช้ภาษาถือเป็นอัจฉริยภาพอย่างหนึ่ง
2.ร่างกายคุณแข็งแรงและปราดเปรียวแค่ไหน ลองเดินขึ้นบันได 3 ชั้น หากร่างกายแข็งแรงปราดเปรียว คุณคงเดินขึ้นได้อย่างสบายๆ
3. คุณสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อมได้รวดเร็วแค่ไหน มีจินตนาการอย่างไร สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนแค่ไหน ไอน์สไตน์บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ความรู้เพียงแค่ผ่านหูผ่านตาเรา แต่จินตนาการเป็นสิ่งที่เราต้องฝึก
4.คุณทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตน เองในแต่ละวันหรือเปล่า ข้อนี้แสดงถึงความถนัดทางด้านคณิตศาสตร์ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นนักคณิตศาสตร์ที่เก่ง หรือไม่ก็เป็นนักบัญชีที่เก่ง หรือจะต้องมีนักบัญชีที่เก่งคอยช่วยเหลือ
5.คุณรู้จักตัวเองแค่ไหน ข้อนี้เป็นอัจฉริยภาพอีกด้านหนึ่ง คนรู้จักคนอื่นเป็นความฉลาด แต่การรู้จักตัวเองเป็นอัจฉริยะ
6. คุณเข้าใจผู้อื่น มีมนุษยสัมพันธ์ดีแค่ไหน การมีมนุษยสัมพันธ์ถือเป็นอัจฉริยภาพที่ต้องใช้ความสามารถต่างๆ รวมกันหลายด้าน ทั้งทางด้านการคิดวิเคราะห์ว่าจะพูดคุยกับเขาอย่างไรให้เขาพอใจ ทำอย่างไรให้รู้จักผู้อื่น และพอใจในผู้ที่เราสัมพันธ์ด้วย
7.ชอบ ธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติหรือเปล่า คนที่มีความลึกซึ้งกับธรรมชาติ ต้องมีอัจฉริยภาพที่จะสัมผัสถึงสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติทั้งหลายได้อย่างถึง แก่น ดั่งคำกล่าวของนักปราชญ์ที่ว่า "ถ้าหากต้องการมีความสุขตลอดชีวิตให้อยู่กับธรรมชาติ"
8.เวลาคุณฟังเพลงมีความสุขหรือเปล่า ร้องเพลงเล่นดนตรีได้ไหม ไพเราะหรือเปล่า หากได้ก็ถือว่าคุณมีความเป็นอัจฉริยภาพด้านดนตรีนั่นเอง
ได้ ทดสอบความมี อัจฉริยภาพ ด้านต่างๆ ของคุณกันแล้ว แต่หากขาดข้อไหนไปก็ไม่ใช่เรื่องยากที่คุณจะเสริมสร้างและพัฒนา Q ต่างๆ ร่วมพัฒนา 6Qs ของคุณเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นอัจฉริยะตัวจริงกับ หนังสือชนะชีวิต คิดอย่างอัจฉริยะ (Genius 6Qs) โดย ผศ.ธีระศักดิ์ กำบรรณารักษ์ นักจิตวิทยา เชี่ยวชาญด้าน AQ และ EQ แล้วคุณจะได้รู้ว่าอัจฉริยภาพสูงสุดไม่ได้เกี่ยวกับวัย ไม่ใช่แค่เด็กที่ฝึกได้ แต่คุณเองก็สามารถฝึกและเป็นอัจฉริยะได้เช่นกัน
วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ปีชง
ปีนี้ท่าจะชงสุดๆ
เริ่มจาก มือถือโดนโขมย เงินหาย งานหลุด วุ้ย ปวดหัว
ก็ เอาเป็นว่ารอดูต่อไป แก้ชงไปหมดแล้ว เฮ้อ..
เริ่มจาก มือถือโดนโขมย เงินหาย งานหลุด วุ้ย ปวดหัว
ก็ เอาเป็นว่ารอดูต่อไป แก้ชงไปหมดแล้ว เฮ้อ..
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

